การส่งเสริมการตลาด (Promotion) "เป็นส่วนประสมทางการตลาด (Marketing Mix) ซึ่งองค์กรใช้เพื่อแจ้งข่าวสารและจูงใจตลาดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์และบริการขององค์กรซึ่งต้องอาศัยกระบวนการติดต่อสื่อสารข้อมูลระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อเพื่อสร้างทัศนคติและพฤติกรรมการซื้อ"
ความสำคัญของการส่งเสริมการตลาด
การส่งเสริมการตลาดเป็นตัวกระตุ้นความต้องการซื้อ
ดังนั้นจึงมีความจำเป็นที่ต้องอาศัยการส่งเสริมการตลาดด้วยเหตุผลต่อไปนี้
ระยะทางระหว่างผู้ผลิตและผู้บริโภคอยู่ห่างไกลกันและจำนวนลูกค้าที่คาดหวังก็มีจำนวนเพิ่มขึ้น
ด้วยเหตุนี้ทำให้การติดต่อสื่อสารทางการตลาดมีความสำคัญมากขึ้น
การติดต่อสื่อสารไปยังผู้บริโภคนั้นไม่เพียงพอ
จำเป็นต้องติดต่อสื่อสารโดยผ่านคนกลาง โดยต้องให้ข้อมูลแก่คนกลาง
แล้วคนกลางจะต้องส่งเสริมไปยังผู้บริโภคอีกต่อ
เนื่องจากการแข่งขันที่รุนแรงขึ้นไม่ว่าจะเป็นการเสนอผลิตภัณฑ์เพื่อสนองความต้องการพื้นฐานหรือสนองความต้องการด้านจิตวิทยาของลูกค้าจะทำให้ลูกค้ามีทางเลือกในการซื้อสินค้ามากยิ่งขึ้นด้วยเหตุนี้โปรแกรมการส่งเสริมที่ดีเท่านั้นที่จะเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายและจูงใจกลุ่มเป้าหมายให้เกิดความต้องการซื้อได้
การส่งเสริมการตลาดจะมีความจำเป็นมากในภาวะเศรษฐกิจตกต่ำเนื่องจากในช่วงนั้นไม่มีปัญหาด้านผลิตภัณฑ์
หรือช่องทางการจัดจำหน่ายและราคาสินค้ายังคงเดิม แต่บุคคลขาดอำนาจซื้อ
ดังนั้นการส่งเสริมการตลาดจึงเป็นเครื่องมือที่จะสามารถกระตุ้นยอดขายได้
ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด (Promotional Mix) หมายถึง เครื่องมือการติดต่อสื่อสารทางการตลาดเพื่อแจ้งข่าวสาร จูงใจตลาด
สร้างทัศนคติ และพฤติกรรมการซื้อของตลาด ส่วนประสมการส่งเสริมการตลาด ประกอบด้วย 4
ประการคือ
o การโฆษณา
o การขายโดยใช้พนักงานขาย
o การส่งเสริมการขาย
o การให้ข่าวและการประชาสัมพันธ์
การโฆษณา (Advertising) "เป็นรูปแบบการเสนอขาย
ความคิด สินค้าหรือบริการ โดยไม่ใช้พนักงานขาย
และต้องมีการจ่ายเงินโดยผู้อุปถัมภ์รายการ" การโฆษณาจึงมีลักษณะเฉพาะ คือ
เป็นการเสนอขายสินค้า บริการ หรือความคิดโดยการใช้สื่อ และต้องการจ่ายเงินค่าสื่อโดยผู้อุปถัมภ์รายการ
การขายโดยใช้พนักงานขาย (Personal Selling) "เป็นการติดต่อสื่อสารทางตรงแบบเผชิญหน้าระหว่างผู้ขายและลูกค้าที่คาดหวัง"
การขายโดยใช้พนักงานขาย ถือเป็นการติดต่อสื่อสารแบบสองทาง (Two Way
Communication)
การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) หมายถึง
"กิจกรรมระยะสั้นที่ใช้ส่งเสริมการขายที่นอกเหนือจากการโฆษณา
การขายโดยใช้พนักงานขายและการประชามสัมพันธ์ซึ่งสามารถกระตุ้นความสนใจ การทดลองใช้
หรือการซื้อของลูกค้าขั้นสุดท้ายหรือบุคคลอื่นในช่องทางการจัดจำหน่ายแต่ละระดับ"
หรืออาจหมายถึง
"กิจกรรมระยะสั้นซึ่งใช้ช่วยและเสริมการขายโดยใช้พนักงานและการโฆษณา"
การส่งเสริมการขายอาจใช้ร่วมกับการโฆษณา หรือการขายโดยพนักงานขาย
การให้ข่าวและการประชาสัมพันธ์ (Plublicity and Public
Relation) "การให้ข่าว เป็นการส่งเสริมการขายโดยไม่ใช้บุคคลโดยไม่มีการจ่ายเงินจากองค์กรที่ได้รับผลประโยชน์จากการให้ข่าวนั้น"
การประชาสัมพันธ์หมายถึง
"การติดต่อสื่อสารกับกลุ่มที่เป็นลูกค้าและไม่ใช้ลูกค้า ซึ่งประกอบด้วย
ประชาชนทั่วไป พนักงานในองค์กร ผู้ถือหุ้น และหน่วยราชการ หรืออาจหมายถึง
"ความพยายามที่มีการวางแผนโดยองค์กรหนึ่งเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อองค์กร
ให้เกิดกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง"
การให้ข่าวจึงเป็นกิจกรรมหนึ่งของการประชาสัมพันธ์
วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาด
วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาดก็คือ
กระตุ้นความต้องการซื้อของลูกค้า (Demand) ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ
การโฆษณา (Advertising) "เป็นรูปแบบการเสนอขาย
ความคิด สินค้าหรือบริการ โดยไม่ใช้พนักงานขาย
และต้องมีการจ่ายเงินโดยผู้อุปถัมภ์รายการ" การโฆษณาจึงมีลักษณะเฉพาะ คือ
เป็นการเสนอขายสินค้า บริการ หรือความคิดโดยการใช้สื่อ และต้องการจ่ายเงินค่าสื่อโดยผู้อุปถัมภ์รายการ
การขายโดยใช้พนักงานขาย (Personal Selling) "เป็นการติดต่อสื่อสารทางตรงแบบเผชิญหน้าระหว่างผู้ขายและลูกค้าที่คาดหวัง"
การขายโดยใช้พนักงานขาย ถือเป็นการติดต่อสื่อสารแบบสองทาง (Two Way
Communication)
การส่งเสริมการขาย (Sales Promotion) หมายถึง
"กิจกรรมระยะสั้นที่ใช้ส่งเสริมการขายที่นอกเหนือจากการโฆษณา
การขายโดยใช้พนักงานขายและการประชามสัมพันธ์ซึ่งสามารถกระตุ้นความสนใจ การทดลองใช้
หรือการซื้อของลูกค้าขั้นสุดท้ายหรือบุคคลอื่นในช่องทางการจัดจำหน่ายแต่ละระดับ"
หรืออาจหมายถึง
"กิจกรรมระยะสั้นซึ่งใช้ช่วยและเสริมการขายโดยใช้พนักงานและการโฆษณา"
การส่งเสริมการขายอาจใช้ร่วมกับการโฆษณา หรือการขายโดยพนักงานขาย
การให้ข่าวและการประชาสัมพันธ์ (Plublicity and Public Relation) "การให้ข่าว เป็นการส่งเสริมการขายโดยไม่ใช้บุคคลโดยไม่มีการจ่ายเงินจากองค์กรที่ได้รับผลประโยชน์จากการให้ข่าวนั้น" การประชาสัมพันธ์หมายถึง "การติดต่อสื่อสารกับกลุ่มที่เป็นลูกค้าและไม่ใช้ลูกค้า ซึ่งประกอบด้วย ประชาชนทั่วไป พนักงานในองค์กร ผู้ถือหุ้น และหน่วยราชการ หรืออาจหมายถึง "ความพยายามที่มีการวางแผนโดยองค์กรหนึ่งเพื่อสร้างทัศนคติที่ดีต่อองค์กร ให้เกิดกับกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง" การให้ข่าวจึงเป็นกิจกรรมหนึ่งของการประชาสัมพันธ์
วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาด
วัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาดก็คือ
กระตุ้นความต้องการซื้อของลูกค้า (Demand) ซึ่งมี 2 ลักษณะคือ
o ส่งเสริมหรือสนับสนุนทัศนคติเดิมที่ดีอยู่แล้ว
ไปสู่พฤติกรรมการซื้อ
o เปลี่ยนแปลงทัศนคติและพฤติกรรมการซื้อของตลาดเป้าหมาย
วัตถุประสงค์พื้นฐานในการส่งเสริมการตลาดมี
3 ประการคือ
เพื่อแจ้งข่าวสาร (To Inform) อาจเป็นการแนะนำสินค้าใหม่หรืออธิบายลักษณะใหม่ของผลิตภัณฑ์หรือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
เช่น ไดเอทโค้ก แจ้งว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่น้อยกว่าหนึ่งแคลอรี่ต่อ 100
กรัม
เพื่อจูงใจ (To Persude) เป็นการชี้จุดเด่นของสินค้าเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความต้องการและเกิดการตัดสินใจซื้อ
เช่น เป๊ปซี่ ใช้สโลแกนว่า รสชาติของคนรุ่นใหม่
เพื่อเตือนความจำ (To Remind) เป็นการส่งเสริมให้ลูกค้าระลึกถึงสินค้านั้นอยู่เสมอ
เช่น นมตราหมีให้พาดหัวว่า เพื่อคนที่คุณรัก
การวางแผนส่งเสริมการตลาดสำหรับธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว
การวางแผนส่งเสริมการตลาด คือ
การระบุลงใปว่าจะใช้เครื่องมือการส่งเสริมการตลาดชนิดใดและจะมีการจัดสรรทรัพยากรไปยังเครื่องมือเหล่านั้นอย่างไร
รวมถึงการคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการวางแผนนั้น ๆ (สุวิมล แม้นจริง, 2539) การวางแผนส่งเสริมการตลาดหลัก ๆ
ของแต่ละส่วนประสมสำหรับธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวประกอบด้วยขั้นตอนที่แตกต่างกันดังนี้
1. แผนงานโฆษณา (Advertising Plan)
แผนงานโฆษณา จะเป็นการวางแผนโดยเน้นการกำหนดกลุ้มเป้าหมายสำหรับการโฆษณา
วัตถุประสงค์ กลยุทธ์เนื้อหา บทความโฆษณา ตารางใช้สื่อโฆษณา งบประมาณ
วิธีการสำหรับวัดและประเมินผลการโฆษณา
2. แผนงานการประชาสัมพันธ์ (Public Relations Plan)
แผนงานการประชาสัมพันธ์
จะเป็นการวางแผนโดยเน้นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับการประชาสัมพันธ์วัตถุประสงค์
ตารางเกี่ยวกับรายละเอียดผลิตภัณฑ์ สื่อประเภทต่าง ๆ ที่จะใช้ในการประชาสัมพันธ์
งบประมาณ วิธีการสำหรับวัดและประเมินผลการประชาสัมพันธ์
3. แผนงานการขายโดยใช้บุคคล (Personal Selling Plan)
แผนงานการขายโดยใช้บุคคล จะเป็นการวางแผนโดยเน้นการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
วัตถุประสงค์ กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการขาย อาณาเขตการขาย งบประมาณ
วิธีการสำหรับวัดและประเมินผลการขายโดยใช้บุคคล
4. แผนงานการส่งเสริมการขาย (Sale Promotion Plan)
แผนงานการส่งเสริมการขาย จะเป็นการวางแผนโดยเน้นการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
สำหรับการส่งเสริมการขาย วัตถุประสงค์ กลยุทธ์การส่งเสริมการขายและสิ่งจูงใจต่าง ๆ
ตารางเกี่ยวกับการจัดทำการส่งเสริมการขาย งบประมาณ
วิธีการสำหรับวัดและประเมินผลการส่งเสริมการขาย
ขั้นตอนของการวางแผนส่งเสริมการตลาดสำหรับธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว
การวางแผนส่งเสริมการตลาดสำหรับธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวประกอบไปด้วย
7 ขั้นตอนดังนี้ (สุวิมล แม้นจริง, 2539)
1. การพิจารณาโอกาสของการส่งเสริมการตลาด
ในขั้นตอนนี้จะเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
ที่ธุรกิจกำลังเผชิญอยู่
โดยมีการศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่มีผลต่อการวางแผนส่งเสริมการตลาด
เพื่อหาโอกาสในการทำการวางแผนส่งเสริมการตลาดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจัยภายนอกที่สำคัญและควรนำมาพิจารณา ได้แก่ ความต้องการของตลาด ทัศนคติของผู้บริโภค
ปัจจัยทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ส่วนผสมทางการตลาดของคู่แข่งขัน
ส่วนปัจจัยภายในของธุรกิจนั้น ได้แก่ เงินทุน ความสามารถของผู้บริหาร
คุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ นโยบายด้านผลิตภัณฑ์และราคา
2. การกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาด
การกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาดควรมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการตลาดและวัตถุประสงค์ของกิจการ
และการกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาดมักจะกำหนดให้อยู่ในรูปของการสื่อสารมากกว่ายอดขายหรือกำไร
วัตถุประสงค์ดังกล่าวควรมีความชัดเจน
ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติและสามารถวัดและประเมินผลได้
3. การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
ในการส่งเสริมการตลาดควรมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อประโยชน์ในการออกแบบข่าวสารและพิจารณาเลือกสื่อที่จะเข้าถึงผู้รับ
ซึ่งจะช่วยให้การส่งเสริมการตลาดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. การกำหนดงบประมาณ
การกำหนดงบประมาณในการส่งเสริมการตลาดจะช่วยในการพิจารณาถึงส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาดที่จะใช้ตลอดจนเครื่องมือหรือวิธีการที่จะติดต่อสื่อสารไปยังผู้รับอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายใต้งบประมาณที่กำหนดขึ้นมาอย่างจำกัด
5. การกำหนดส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาด
ขั้นตอนนนี้เป็นการพิจารณาเลือกใช้วิธีการส่งเสริมการตลาดแบบต่าง ๆ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมทั้งกำหนดสัดส่วนของกิจกรรมต่าง ๆ ของการส่งเสริมการตลาด
นอกจากนี้ยังเป็นการกำหนดกลยุทธ์สำหรับแต่ละส่วนของส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาดอีกด้วย
6. การประสานงานและการควบคุมการส่งเสริมการตลาด
การส่งเสริมการตลาดจะต้องมีการประสานกันระหว่างกิจกรรมต่าง ๆ
ภายในกระบวนการการส่งเสริมการตลาดและกิจกรรมต่าง ๆ ของการตลาดทั้งหมดด้วย
นอกจากนี้ควรที่จะต้องมีการควบคุมแผนงานที่กำหนดขึ้นให้ได้รับการปฏิบัติตามแผนงานภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย
7. การวัดและประเมินผลการส่งเสริมการตลาด
ในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวางแผนการส่งเสริมการตลาด
จะต้องมีการวัดและประเมินผลการปฏิบัติงานทั้งหมดที่ได้กับเป้าหมายที่กำหนดไว้
โดยต้องรู้ถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของแผนการส่งเสริมการตลาดเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนต่อไปในอนาคต
ปัญหาพื้นฐานของการเลือกใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
การพิจารณาส่วนประสมทางการตลาดของบริษัทจะเกี่ยวข้องกับคำถาม 6
ประการ คำตอบที่ได้จะเกี่ยวข้องกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 4 ประการ
ดังกล่าวมาแล้ว
- เมื่อใดที่ควรใช้การขายโดยพนักงานขายเป็นหลัก คำตอบมีดังนี้
- เมื่อบริษัทมีเงินทุนไม่เพียงพอ
- เมื่อตลาดอยู่รวมกลุ่มกัน
- เมื่อบุคลิกภาพของพนักงานขาย
จะช่วยสร้างการยอมรับในผลิตภัณฑ์
- เมื่อสินค้ามีราคาต่อหน่วยสูง
- สินค้าต้องอาศัยการสาธิต
- เมื่อต้องมีการสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม
- เป็นการขายที่เกี่ยวกับการนำสินค้าเก่ามาเปลี่ยน
- เมื่อใดที่ควรใช้การโฆษณาเป็นหลัก คำตอบก็คือ
ถ้าหากลูกค้าอยู่กระจัดกระจาย
และต้องการแจ้งข่าวสารแก่บุคคลจำนวนมากในเวลาที่รวดเร็ว
สินค้าทุกอย่างไม่
สามารถโฆษณาได้หมด ศาสตราจารย์ Neil Borden ได้ระบุเกณฑ์ 5 ประการสำหรับ
สินค้าที่เหมาะกับการใช้โฆษณาคือ
- ต้องเป็นการโฆษณาเพื่อกระตุ้นความต้องการขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว
โฆษณาจะไม่ได้ผลถ้าคนไม่มีความต้องการ
- สินค้าที่โฆษณาต้องเปิดโอกาสให้สร้างความแตกต่างในสินค้าได้
เช่น รถยนต์หรือเครื่องสำอางค์ จะทำการโฆษณาได้ง่ายกว่าเกลือหรือน้ำตาล
- ผลิตภัณฑ์นั้นควรมีคุณภาพที่ซ่อนเร้นอยู่
- ผลิตภัณฑ์นั้นควรมีแรงจูงใจด้านเหตุผลหรือด้านอารมณ์
- บริษัทต้องมีเงินทุนในการโฆษณาที่เพียงพอ
- เมื่อใดควรใช้การส่งเสริมการตลาดที่มุ่งที่ผู้ค้าปลีก คำตอบมีดังนี้
- ผู้ค้าปลีกรู้ตลาดดีกว่าผู้ผลิต
- ผลิตภัณฑ์สามารถวัดคุณภาพได้ ณ
จุดซื้อและมีมาตรฐานสูง ซึ่งต้องอาศัยผู้ขายในการจัดแสดงสินค้าเพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้น
เกิดการซื้อกะทันหัน
- ผู้ค้าปลีกมีชื่อเสียงดีกว่าผู้ผลิต
- เมื่อใดควรใช้การโฆษณาร่วมกันระหว่างผู้ผลิตและผู้ค้าปลีก มีประเด็นที่ควร
พิจารณา 3 ประเด็นคือ
- ต้องระบุชื่อและที่อยู่ของผู้จำหน่ายสินค้าของเขาในการโฆษณา
ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ
- ผู้ผลิตมีการเลือกใช้นโยบายการจัดจำหน่ายแบบเลือกสรร
(Selective Distribution) หรือแบบผูกขาด (Exculsive Distribution)
- เมื่อผู้ผลิตต้องการให้พ่อค้าปลีกกล่าวถึงสินค้าของผู้ผลิตในการโฆษณาของพ่อค้าปลีกโดยผู้ผลิตจะช่วยออกค่าโฆษณาของพ่อค้าปลีก
- เมื่อพ่อค้าปลีกต้องการเน้นชื่อสินค้าของผู้ผลิตในการโฆษณาและจัดแสดงสินค้า
- ของเขาเพราะเห็นว่าชื่อของผู้ผลิตมีความสำคัญต่อการส่งเสริม
- เมื่อใดผู้ผลิตควรใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดแบบกลยุทธ์ผลักหรือกยุทธ์ดึง
กลยุทธ์ผลัก (Push Strategy) หมายถึง
"การที่ผู้ผลิตใช้การส่งเสริมการตลาดมุ่งที่คนกลางในช่องทางการจัดจำหน่ายของผู้ผลิต"
หรืออาจหมายถึง "การใช้ความพยายามในการส่งเสริมการตลาดเพื่อช่วยการขายโดยมุ่งที่สมาชิกในช่องทาง"
หรืออาจหมายถึง "กิจกรรมการตลาดของผู้ผลิต
(โดยทั่วไปใช้กับพนักงานขายและการส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่คนกลาง)
เพื่อจูงใจคนกลางให้สั่งซื้อ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิต"
โดยทั่วไปผู้ผลิตจะส่งเสริมมุ่งที่ผู้ค้าส่งก็จะให้กลยุทธ์ผลักกับผู้ค้าปลีกเพื่อให้พ่อค้าปลีกเข้าถึงลูกค้าผู้บริโภค
เครื่องมือที่ใช้มากสำหรับกลยุทธ์ผลัก
คือการขายโดยใช้พนักงานขายและอาจใช้เครื่องมือส่งเสริมการขายช่วยการสาธิตหรือช่วยการจัดแสดงสินค้าให้กับร้านค้าคนกลาง
กลยุทธ์ผลักใช้กับสินค้าอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับสินค้าบริโภค
กลยุทธ์ดึง (Pull Strategy) หมายถึง
"การมุ่งส่งเสริมสินค้าไปยังผู้ใช้คนสุดท้าย (End User) เพื่อให้เข้ามาถามซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตจากคนกลาง"
ผู้ใช้ขั้นสุดท้ายส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภคขั้นสุดท้าย
กลยุทธ์นี้ต้องใช้การโฆษณาอย่างมากรวมกับการส่งเสริมการขายที่เป็นไปได้ เช่น
ของแถม จัดแสดงสินค้า ฯลฯ
กลยุทธ์ดึงมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อต้องการสร้างความต้องการซื้อของผู้บริโภคให้เกิดขึ้น
ทำให้ผู้บริโภคมาถามซื้อสินค้าของผู้ผลิตจากร้านค้าปลีกใดๆ ก็ได้
ผู้ค้าปลีกก็จะไปถามซื้อจากผู้ค้าส่ง ผู้ค้าส่งก็จะถามซื้อจากผู้ผลิต
วิธีนี้จึงถือว่าเป็นการดึงลูกค้าให้มาสนใจผลิตภัณฑ์ของบริษัท
กลยุทธ์นี้ใช้สำหรับสินค้าบริโภคที่ต้องมีบรรจุหีบห่อที่ดีและสวยงาม (Consumer
Package Goods) ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้ดี
โดยทั่วไปบริษัทอาจจะใช้ทั้งสองเครื่องมือร่วมกันไม่ว่าจะเป็นบริษัทจอห์นสัน
แอนด์ จอห์นสัน ไอบีเอ็ม คูปอง โกดัก ฯลฯ
บริษัทเหล่านี้มีการโฆษณาไปยังผู้บริโภคขั้นสุดท้าย
และขณะเดียวกันใช้พนักงานที่มีความชำนาญเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์โดยมุ่งกระตุ้นผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกรายใหญ่ด้วย
- กิจกรรมการส่งเสริมควรจะมีต่อหรือไม่เมื่อดีมานด์มีมากหรือมีมากเกินความ
สามารถในการผลิต คำตอบ คือ ควรจะมีอยู่เพื่อเตือนความทรงจำเนื่องจากตลาด
มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และความภักดีของลูกค้าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนลูกค้าเก่าอาจจะเปลี่ยนใจและลูกค้าใหม่อาจจะเกิดขึ้นจากการโฆษณา
วัตถุประสงค์พื้นฐานในการส่งเสริมการตลาดมี
3 ประการคือ
เพื่อแจ้งข่าวสาร (To Inform) อาจเป็นการแนะนำสินค้าใหม่หรืออธิบายลักษณะใหม่ของผลิตภัณฑ์หรือชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
เช่น ไดเอทโค้ก แจ้งว่าเป็นเครื่องดื่มที่มีแคลอรี่น้อยกว่าหนึ่งแคลอรี่ต่อ 100
กรัม
เพื่อจูงใจ (To Persude) เป็นการชี้จุดเด่นของสินค้าเพื่อกระตุ้นให้ลูกค้าเกิดความต้องการและเกิดการตัดสินใจซื้อ
เช่น เป๊ปซี่ ใช้สโลแกนว่า รสชาติของคนรุ่นใหม่
เพื่อเตือนความจำ (To Remind) เป็นการส่งเสริมให้ลูกค้าระลึกถึงสินค้านั้นอยู่เสมอ เช่น นมตราหมีให้พาดหัวว่า เพื่อคนที่คุณรัก
การวางแผนส่งเสริมการตลาดสำหรับธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว
การวางแผนส่งเสริมการตลาด คือ
การระบุลงใปว่าจะใช้เครื่องมือการส่งเสริมการตลาดชนิดใดและจะมีการจัดสรรทรัพยากรไปยังเครื่องมือเหล่านั้นอย่างไร
รวมถึงการคาดหวังถึงผลลัพธ์ที่ได้จากการวางแผนนั้น ๆ (สุวิมล แม้นจริง, 2539) การวางแผนส่งเสริมการตลาดหลัก ๆ
ของแต่ละส่วนประสมสำหรับธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวประกอบด้วยขั้นตอนที่แตกต่างกันดังนี้
1. แผนงานโฆษณา (Advertising Plan)
แผนงานโฆษณา จะเป็นการวางแผนโดยเน้นการกำหนดกลุ้มเป้าหมายสำหรับการโฆษณา
วัตถุประสงค์ กลยุทธ์เนื้อหา บทความโฆษณา ตารางใช้สื่อโฆษณา งบประมาณ
วิธีการสำหรับวัดและประเมินผลการโฆษณา
2. แผนงานการประชาสัมพันธ์ (Public Relations Plan)
แผนงานการประชาสัมพันธ์
จะเป็นการวางแผนโดยเน้นการกำหนดกลุ่มเป้าหมายสำหรับการประชาสัมพันธ์วัตถุประสงค์
ตารางเกี่ยวกับรายละเอียดผลิตภัณฑ์ สื่อประเภทต่าง ๆ ที่จะใช้ในการประชาสัมพันธ์
งบประมาณ วิธีการสำหรับวัดและประเมินผลการประชาสัมพันธ์
3. แผนงานการขายโดยใช้บุคคล (Personal Selling Plan)
แผนงานการขายโดยใช้บุคคล จะเป็นการวางแผนโดยเน้นการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
วัตถุประสงค์ กลยุทธ์ต่าง ๆ ในการขาย อาณาเขตการขาย งบประมาณ
วิธีการสำหรับวัดและประเมินผลการขายโดยใช้บุคคล
4. แผนงานการส่งเสริมการขาย (Sale Promotion Plan)
แผนงานการส่งเสริมการขาย จะเป็นการวางแผนโดยเน้นการกำหนดกลุ่มเป้าหมาย สำหรับการส่งเสริมการขาย วัตถุประสงค์ กลยุทธ์การส่งเสริมการขายและสิ่งจูงใจต่าง ๆ ตารางเกี่ยวกับการจัดทำการส่งเสริมการขาย งบประมาณ วิธีการสำหรับวัดและประเมินผลการส่งเสริมการขาย
ขั้นตอนของการวางแผนส่งเสริมการตลาดสำหรับธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยว
การวางแผนส่งเสริมการตลาดสำหรับธุรกิจโรงแรมและท่องเที่ยวประกอบไปด้วย
7 ขั้นตอนดังนี้ (สุวิมล แม้นจริง, 2539)
1. การพิจารณาโอกาสของการส่งเสริมการตลาด
ในขั้นตอนนี้จะเป็นการวิเคราะห์สถานการณ์ของสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ
ที่ธุรกิจกำลังเผชิญอยู่
โดยมีการศึกษาทั้งปัจจัยภายในและภายนอกที่มีผลต่อการวางแผนส่งเสริมการตลาด
เพื่อหาโอกาสในการทำการวางแผนส่งเสริมการตลาดให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจัยภายนอกที่สำคัญและควรนำมาพิจารณา ได้แก่ ความต้องการของตลาด ทัศนคติของผู้บริโภค
ปัจจัยทางด้านสังคมและวัฒนธรรม ส่วนผสมทางการตลาดของคู่แข่งขัน
ส่วนปัจจัยภายในของธุรกิจนั้น ได้แก่ เงินทุน ความสามารถของผู้บริหาร
คุณภาพและมาตรฐานผลิตภัณฑ์ นโยบายด้านผลิตภัณฑ์และราคา
2. การกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาด
การกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาดควรมีความสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ของการตลาดและวัตถุประสงค์ของกิจการ
และการกำหนดวัตถุประสงค์ของการส่งเสริมการตลาดมักจะกำหนดให้อยู่ในรูปของการสื่อสารมากกว่ายอดขายหรือกำไร
วัตถุประสงค์ดังกล่าวควรมีความชัดเจน
ง่ายต่อการนำไปปฏิบัติและสามารถวัดและประเมินผลได้
3. การกำหนดกลุ่มเป้าหมาย
ในการส่งเสริมการตลาดควรมีการกำหนดกลุ่มเป้าหมายที่ชัดเจนเพื่อประโยชน์ในการออกแบบข่าวสารและพิจารณาเลือกสื่อที่จะเข้าถึงผู้รับ
ซึ่งจะช่วยให้การส่งเสริมการตลาดมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
4. การกำหนดงบประมาณ
การกำหนดงบประมาณในการส่งเสริมการตลาดจะช่วยในการพิจารณาถึงส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาดที่จะใช้ตลอดจนเครื่องมือหรือวิธีการที่จะติดต่อสื่อสารไปยังผู้รับอย่างมีประสิทธิภาพ
ภายใต้งบประมาณที่กำหนดขึ้นมาอย่างจำกัด
5. การกำหนดส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาด
ขั้นตอนนนี้เป็นการพิจารณาเลือกใช้วิธีการส่งเสริมการตลาดแบบต่าง ๆ
ดังที่ได้กล่าวมาแล้วข้างต้น รวมทั้งกำหนดสัดส่วนของกิจกรรมต่าง ๆ ของการส่งเสริมการตลาด
นอกจากนี้ยังเป็นการกำหนดกลยุทธ์สำหรับแต่ละส่วนของส่วนประสมของการส่งเสริมการตลาดอีกด้วย
6. การประสานงานและการควบคุมการส่งเสริมการตลาด
การส่งเสริมการตลาดจะต้องมีการประสานกันระหว่างกิจกรรมต่าง ๆ
ภายในกระบวนการการส่งเสริมการตลาดและกิจกรรมต่าง ๆ ของการตลาดทั้งหมดด้วย
นอกจากนี้ควรที่จะต้องมีการควบคุมแผนงานที่กำหนดขึ้นให้ได้รับการปฏิบัติตามแผนงานภายในระยะเวลาที่กำหนดด้วย
7. การวัดและประเมินผลการส่งเสริมการตลาด
ในขั้นตอนสุดท้ายของกระบวนการวางแผนการส่งเสริมการตลาด จะต้องมีการวัดและประเมินผลการปฏิบัติงานทั้งหมดที่ได้กับเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยต้องรู้ถึงจุดอ่อนและจุดแข็งของแผนการส่งเสริมการตลาดเพื่อใช้ประโยชน์ในการวางแผนต่อไปในอนาคต
ปัญหาพื้นฐานของการเลือกใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาด
การพิจารณาส่วนประสมทางการตลาดของบริษัทจะเกี่ยวข้องกับคำถาม 6
ประการ คำตอบที่ได้จะเกี่ยวข้องกับปัจจัยส่วนประสมทางการตลาด 4 ประการ
ดังกล่าวมาแล้ว
- เมื่อใดที่ควรใช้การขายโดยพนักงานขายเป็นหลัก คำตอบมีดังนี้
- เมื่อบริษัทมีเงินทุนไม่เพียงพอ
- เมื่อตลาดอยู่รวมกลุ่มกัน
- เมื่อบุคลิกภาพของพนักงานขาย
จะช่วยสร้างการยอมรับในผลิตภัณฑ์
- เมื่อสินค้ามีราคาต่อหน่วยสูง
- สินค้าต้องอาศัยการสาธิต
- เมื่อต้องมีการสนองความต้องการของลูกค้าแต่ละคนได้อย่างเหมาะสม
- เป็นการขายที่เกี่ยวกับการนำสินค้าเก่ามาเปลี่ยน
- เมื่อใดที่ควรใช้การโฆษณาเป็นหลัก คำตอบก็คือ
ถ้าหากลูกค้าอยู่กระจัดกระจาย
และต้องการแจ้งข่าวสารแก่บุคคลจำนวนมากในเวลาที่รวดเร็ว สินค้าทุกอย่างไม่
สามารถโฆษณาได้หมด ศาสตราจารย์ Neil Borden ได้ระบุเกณฑ์ 5 ประการสำหรับ
สินค้าที่เหมาะกับการใช้โฆษณาคือ - ต้องเป็นการโฆษณาเพื่อกระตุ้นความต้องการขั้นพื้นฐานอยู่แล้ว
โฆษณาจะไม่ได้ผลถ้าคนไม่มีความต้องการ
- สินค้าที่โฆษณาต้องเปิดโอกาสให้สร้างความแตกต่างในสินค้าได้
เช่น รถยนต์หรือเครื่องสำอางค์ จะทำการโฆษณาได้ง่ายกว่าเกลือหรือน้ำตาล
- ผลิตภัณฑ์นั้นควรมีคุณภาพที่ซ่อนเร้นอยู่
- ผลิตภัณฑ์นั้นควรมีแรงจูงใจด้านเหตุผลหรือด้านอารมณ์
- บริษัทต้องมีเงินทุนในการโฆษณาที่เพียงพอ
- เมื่อใดควรใช้การส่งเสริมการตลาดที่มุ่งที่ผู้ค้าปลีก คำตอบมีดังนี้
- ผู้ค้าปลีกรู้ตลาดดีกว่าผู้ผลิต
- ผลิตภัณฑ์สามารถวัดคุณภาพได้ ณ
จุดซื้อและมีมาตรฐานสูง ซึ่งต้องอาศัยผู้ขายในการจัดแสดงสินค้าเพื่อให้ผลิตภัณฑ์นั้น
เกิดการซื้อกะทันหัน
- ผู้ค้าปลีกมีชื่อเสียงดีกว่าผู้ผลิต
- เมื่อใดควรใช้การโฆษณาร่วมกันระหว่างผู้ผลิตและผู้ค้าปลีก มีประเด็นที่ควร
พิจารณา 3 ประเด็นคือ - ต้องระบุชื่อและที่อยู่ของผู้จำหน่ายสินค้าของเขาในการโฆษณา
ซึ่งจะเกิดขึ้นเมื่อ
- ผู้ผลิตมีการเลือกใช้นโยบายการจัดจำหน่ายแบบเลือกสรร
(Selective Distribution) หรือแบบผูกขาด (Exculsive Distribution)
- เมื่อผู้ผลิตต้องการให้พ่อค้าปลีกกล่าวถึงสินค้าของผู้ผลิตในการโฆษณาของพ่อค้าปลีกโดยผู้ผลิตจะช่วยออกค่าโฆษณาของพ่อค้าปลีก
- เมื่อพ่อค้าปลีกต้องการเน้นชื่อสินค้าของผู้ผลิตในการโฆษณาและจัดแสดงสินค้า
- ของเขาเพราะเห็นว่าชื่อของผู้ผลิตมีความสำคัญต่อการส่งเสริม
- เมื่อใดผู้ผลิตควรใช้กลยุทธ์การส่งเสริมการตลาดแบบกลยุทธ์ผลักหรือกยุทธ์ดึง
กลยุทธ์ผลัก (Push Strategy) หมายถึง
"การที่ผู้ผลิตใช้การส่งเสริมการตลาดมุ่งที่คนกลางในช่องทางการจัดจำหน่ายของผู้ผลิต"
หรืออาจหมายถึง "การใช้ความพยายามในการส่งเสริมการตลาดเพื่อช่วยการขายโดยมุ่งที่สมาชิกในช่องทาง"
หรืออาจหมายถึง "กิจกรรมการตลาดของผู้ผลิต
(โดยทั่วไปใช้กับพนักงานขายและการส่งเสริมการขายที่มุ่งสู่คนกลาง)
เพื่อจูงใจคนกลางให้สั่งซื้อ จำหน่ายผลิตภัณฑ์ และส่งเสริมผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิต"
โดยทั่วไปผู้ผลิตจะส่งเสริมมุ่งที่ผู้ค้าส่งก็จะให้กลยุทธ์ผลักกับผู้ค้าปลีกเพื่อให้พ่อค้าปลีกเข้าถึงลูกค้าผู้บริโภค
เครื่องมือที่ใช้มากสำหรับกลยุทธ์ผลัก
คือการขายโดยใช้พนักงานขายและอาจใช้เครื่องมือส่งเสริมการขายช่วยการสาธิตหรือช่วยการจัดแสดงสินค้าให้กับร้านค้าคนกลาง
กลยุทธ์ผลักใช้กับสินค้าอุตสาหกรรมเช่นเดียวกับสินค้าบริโภค
กลยุทธ์ดึง (Pull Strategy) หมายถึง
"การมุ่งส่งเสริมสินค้าไปยังผู้ใช้คนสุดท้าย (End User) เพื่อให้เข้ามาถามซื้อผลิตภัณฑ์ของผู้ผลิตจากคนกลาง"
ผู้ใช้ขั้นสุดท้ายส่วนใหญ่จะเป็นผู้บริโภคขั้นสุดท้าย
กลยุทธ์นี้ต้องใช้การโฆษณาอย่างมากรวมกับการส่งเสริมการขายที่เป็นไปได้ เช่น
ของแถม จัดแสดงสินค้า ฯลฯ
กลยุทธ์ดึงมีวัตถุประสงค์ก็เพื่อต้องการสร้างความต้องการซื้อของผู้บริโภคให้เกิดขึ้น
ทำให้ผู้บริโภคมาถามซื้อสินค้าของผู้ผลิตจากร้านค้าปลีกใดๆ ก็ได้
ผู้ค้าปลีกก็จะไปถามซื้อจากผู้ค้าส่ง ผู้ค้าส่งก็จะถามซื้อจากผู้ผลิต
วิธีนี้จึงถือว่าเป็นการดึงลูกค้าให้มาสนใจผลิตภัณฑ์ของบริษัท
กลยุทธ์นี้ใช้สำหรับสินค้าบริโภคที่ต้องมีบรรจุหีบห่อที่ดีและสวยงาม (Consumer
Package Goods) ดึงดูดความสนใจของผู้บริโภคได้ดี
โดยทั่วไปบริษัทอาจจะใช้ทั้งสองเครื่องมือร่วมกันไม่ว่าจะเป็นบริษัทจอห์นสัน
แอนด์ จอห์นสัน ไอบีเอ็ม คูปอง โกดัก ฯลฯ
บริษัทเหล่านี้มีการโฆษณาไปยังผู้บริโภคขั้นสุดท้าย
และขณะเดียวกันใช้พนักงานที่มีความชำนาญเพื่อส่งเสริมผลิตภัณฑ์โดยมุ่งกระตุ้นผู้ค้าส่งและผู้ค้าปลีกรายใหญ่ด้วย
- กิจกรรมการส่งเสริมควรจะมีต่อหรือไม่เมื่อดีมานด์มีมากหรือมีมากเกินความ
สามารถในการผลิต คำตอบ คือ ควรจะมีอยู่เพื่อเตือนความทรงจำเนื่องจากตลาด
มีการเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และความภักดีของลูกค้าเป็นสิ่งที่ไม่แน่นอนลูกค้าเก่าอาจจะเปลี่ยนใจและลูกค้าใหม่อาจจะเกิดขึ้นจากการโฆษณา
อ้างอิง
http://elearning.bu.ac.th/mua/course/mk212/ch10.htm
หนังสือการจัดการตลาดธุรกิจโรงแรม, สมาคมโรงแรมไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น