ในอุตสาหกรรมโรงแรมและท่องเที่ยว การนำเสนอสินค้าหรือบริการสู่ตลาดไม่ว่าจะเป็นตลาดผู้ขายตรง ตลาดผู้ขายต่อ หรือตลาดรัฐบาลนั้น โดยทั่วไปแล้วบริษัทไม่สามารถนำเสนอสินค้าหรือบริการที่มีความเหมาะสมหรือตรงกับความต้องการของลูกค้าทุกคนในทุกตลาดได้ เนื่องจากลูกค้ามีจำนวนมาก มีถิ่นที่อยู่กระจัดกระจาย และมีลักษณะความชอบ ความต้องการ และวิธีปฏิบัติการซื้อที่แตกต่างกัน โดยบริษัทจะนำเสนอสินค้าหรือบริการเข้าสู่เฉพาะตลาดที่บริษัทชำนาญและเห็นโอกาสความสำเร็จทางธุรกิจเพื่อให้บรรลุถึงวัตถุประสงค์ทางการตลาดในการดำเนินธุรกิจในปัจจุบัน ซึ่งความชอบ ความต้องการ และพฤติกรรมของลูกค้ามีความหลากหลาย กลยุทธ์การตลาดตามเป้าหมาย (Target marketing) จึงถูกนำมาใช้ซึ่งหมายถึง การจัดการสินค้าหรือบริการและส่วนประสมทางการตลาดที่แตกต่างกันเพื่อสนองความต้องการของตลาดที่มีลักษณะความชอบ ความต้องการและพฤติกรรมลูกค้าที่แตกต่างกัน ในการจัดส่วนประสมทางการตลาดให้เหมาะสมกับตลาดเป้าหมายนั้นจำเป็นต้องเริ่มต้นด้วยการแบ่งตลาดออกเป็นส่วน ๆ โดยอาศัยปัจจัยที่เกี่ยวกับลูกค้าหรือตลาดเป็นพื้นฐานในการแบ่ง หลังจากนั้นจึงกำหนดตลาดเป้าหมาย และกำหนดตำแหน่งสินค้าหรือบริการของบริษัทให้มีความสอดคล้องกับความชอบ ความต้องการ และพฤติกรรมของตลาดที่เลือกเป็นเป้าหมาย ซึ่งกลยุทธ์การตลาดตามเป้าหมายนี้บริษัทต้องพิจารณา 3 ประการคือ
ประการที่หนึ่ง การแบ่งส่วนตลาด
(Market
segmentation หรือ Segmenting) เป็นการแบ่งตลาดสำหรับสินค้าหรือบริการชนิดใดชนิดหนึ่งออกเป็นตลาดย่อย
ๆ ที่แตกต่างกันทางด้านความชอบ ความต้องการ และพฤติกรรมลูกค้าในแต่ละตลาดย่อย ๆ
นั้น โดยอาศัยคุณสมบัติของลูกค้าหรือตลาดเป็นปัจจัยในการแบ่ง
ทั้งนี้เพื่อให้สามารถแยกตลาดออกเป็นส่วน ๆ (Market segments) และทำให้เห็นความเด่นชัดที่แตกต่างกันของคุณสมบัติ ความชอบ
ความต้องการและฑฟติกรรมของลูกค้าที่อยู่ในแต่ละส่วนของตลาด
เพื่อจะวางแผนและใช้ความพยายามทางการตลาดได้เหมาะสมกับแต่ละส่วนตลาด ตัวอย่างเช่น
สินค้าหรือบริการของที่พักหรือร้านอาหารแบ่งส่วนตลาดโดยยึดเกณฑ์เพศ วัย รายได้
และรสนิยมเป็นพื้นฐานในการแบ่งตลาดกระเป๋าออกเป็นส่วน ๆ (Market segment)
ประการที่สอง คือการกำหนดเป้าหมาย (Market
targeting หรือ Targeting) ซึ่งเป็นกิจกรรมในการประเมินผลและการเลือกส่วนตลาด
(Market segments) ที่บริษัทเห็นว่าเหมาะสมกับทรัพยากรและความชำนาญของบริษัท
ตลอดจนเป็นส่วนตลาดที่มีโอกาสทางการตลาด
มีศักยภาพในการสร้างยอดขายและทำกำไรให้กับบริษัท ตัวอย่างเช่น
สินค้าหรือบริการของที่พักหรือร้านอาหาร เลือดตลาดเป้าหมายเป็นผู้หญิงอายุ 30 - 60
ปี รายได้สูง และรสนิยมดี
ประการที่สาม เป็นการกำหนดตำแหน่งสินค้าหรือบริการในตลาด (Market positioning หรือ Positioning) เป็นการกำหนดตำแหน่งสินค้าหรือบริการของบริษัทให้เกิดขึ้นในใจของลูกค้าในเชิงเปรียบเทียบกับสินค้าหรือบริการของคู่แข่งขัน
โดยใช้กลยุทธ์การสื่อสารทางการตลาดเป็นเครื่องมือในกระบวนการสร้างตำแหน่งสินค้าหรือบริการ
ตัวอย่างเช่น
ความเป็นสินค้าหรือบริการของที่พักหรือร้านอาหารซึ่งเป็นมาตรฐานเดียวกับมาตรฐาน 5
ดาว
เครื่องมือ 3 ประการนี้ เราเรียกว่า STP
marketing ซึ่งคำว่า STP ย่อมาจาก Segmenting,
targeting และ Positioning
การแบ่งส่วนตลาด (Market Segmentation)
ระดับของการแบ่งส่วนการตลาด (Levels of
market segmentation) มี 6 ระดับ ดังนี้
การตลาดมวลชน (Mass marketing) เป็นการตลาดที่มุ่งความสำคัญที่มีการผลิตสินค้าในรูปแบบเดียวกันเป็นจำนวนมาก
(Mass production) โดยนำออกวางตลาดให้ทั่วถึง (Mass
distribution) และส่งเสริมการตลาดอย่างมาก (Mass
promotion) โดยมองตลาดว่ามีความต้องการคล้ายคลึงกัน
เป็นแนวคิดที่มุ่งความสำคัญที่การผลิต (Production-oriented) โดยมุ่งที่จะผลิตภัณฑ์สินค้าในรูปแบบเดียวกันจำนวนมาก
เพื่อลดต้นทุนในการผลิต
การตลาดโดยมุ่งที่ส่วนของตลาด (Segment
marketing) เป็นการใช้เครื่องมือการตลาดโดยมุ่งที่ส่วนของตลาด
(Market segment) แนวคิดนี้อาจมองว่าตลาดมีความต้องการที่แตกต่างกัน
บริษัทต้องจัดผลิตภัณฑ์และส่วนประสมทางการตลาดให้แตกต่างกันสำหรับแต่ละตลาดเป้าหมาย
ในกรณีนี้จะก่อให้เกิดข้อได้เปรียบกับธุรกิจ
เพราะผลิตภัณฑ์และส่วนประสมทางการตลาดจะสามารถสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีขึ้น
การตลาดโดยมุ่งที่ตลาดกลุ่มเล็ก (Niche
marketing) เป็นการใช้เครื่องมือการตลาดโดยมุ่งที่ตลาดกลุ่มเล็ก
(Niche market) ซึ่งมีความต้องการที่เฉพาะเจาะจงเป็นกลุ่มที่แคบกว่าส่วนของตลาด
(Market segment) เนื่องจากส่วนของตลาดมีขนาดใหญ่จึงมีคู่แข่งขันมาก
แต่ตลาดกลุ่มเล็กนี้ (Niche market) จะมีคู่แข่งขันเพียงหนึ่งรายหรือไม่กี่รายเท่านั้น
ตลาดกลุ่มเล็กจึงเป็นที่น่าสนใจสำหรับบริษัทเล็ก
แต่อย่างไรก็ตามบริษัทใหญ่ก็สามารถใช้กลยุทธ์นี้ได้เช่นกัน
ตลาดกลุ่มเล็กส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มที่มีรายได้สูง
พร้อมที่จะจ่ายเงินซื้อสินค้าราคาแพง มีความต้องการที่เฉพาะเจาะจง เช่น
มีคุณภาพดีเด่นเป็นพิเศษ
การตลาดท้องถิ่น (Local marketing) เป็นการใช้กลยุทธ์การตลาดเพื่อตอบสนองความต้องการของกลุ่มลูกค้าในท้องถิ่น
เช่น ห้างสรรพสินค้าแต่ละสาขาจะจัดหาสินค้า และใช้กลยุทธ์การตลาดแตกต่างกัน
ธนาคารแต่ละสาขาจะเน้นกลยุทธ์การให้บริการลูกค้าที่แตกต่างกัน
การตลาดท้องถิ่นนี้จะยึดถือลักษณะด้านประชากรศาสตร์ (Demographics) ค่านิยมและรูปแบบการดำรงชีวิต (Value and lifestyles) ของแต่ละชุมชนหรือท้องถิ่น เป็นหลัก
การตลาดมุ่งเฉพาะบุคคล (Individual
marketing) เป็นการใช้เครื่องมือการตลาดโดยมุ่งที่ลูกค้ารายใดรายหนึ่ง
ตัวอย่างของธุรกิจที่ใช้กลยุทธ์นี้คือ บริษัทคอมพิวเตอร์มุ่งขายให้กับธนาคารหรือสถาบันการศึกษาหรือบริษัทใดบริษัทหนึ่ง
ร้านตัดเสื้อซึ่งตัดเสื้อผ้าสำเร็จรูปส่งให้ร้านค้าปลีกร้านใดร้านหนึ่ง
บริษัททัวร์จัดท่องเที่ยวให้กับครอบครัวหรือนักศึกษากลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง
กลยุทธ์นี้อาจจะเรียกว่า การตลาดมุ่งเฉพาะกลุ่มลูกค้า (Customized
marketing) หรือ การตลาดมุ่งเฉพาะบุคคล (One-to-one
marketing) หรือ การตลาดหนึ่งส่วนตลาด (Segments of one)
การตลาดที่ลูกค้าต้องรับผิดชอบตัวเอง (Self-marketing) เป็นการตลาดที่ลูกค้าช่วยตัวเองในการซื้อสินค้า
ซึ่งผู้บริโภคแต่ละรายต้องใช้ความรับผิดชอบมากขึ้นในการพิจารณาผลิตภัณฑ์และตราสินค้า
เช่น การซื้อผ่านอินเตอร์เน็ต การสั่งซื้อสินค้าทางโทรศัพท์ การสั่งซื้อทาง Fax หรือ E-mail การสั่งซื้อสินค้าทางจดหมาย
ฯลฯ
รูปแบบของการแบ่งส่วนตลาด (Patterns of market segmentation)
การแบ่งส่วนตลาดตามหลักประชากรศาสตร์ที่แตกต่างกัน (เช่น รายได้ อายุ
ที่อยู่อาศัย) จะแบ่งตลาดแบบใดนั้นจะต้องพิจารณาถึงความชอบ ความต้องการความพอใจ
และพฤติกรรมของตลาดที่มีต่อผลิตภัณฑ์ ซึ่งประกอบด้วย 3 แบบ โดยมีรายละเอียดดังนี้
ความชอบเหมือนกัน (Homogeneous
preferences) คือการที่ผู้บริโภคทุกคนในตลาดนั้นมีความชอบ
ความต้องการ ความพอใจ และพฤติกรรมทางการตลาดที่ไม่แตกต่างกัน
ส่งผลให้ผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคในตลาดนี้มีความต้องการ จึงมีคุณสมบัติต่างๆ
ที่คล้ายคลึงกัน
ความชอบกระจัดกระจาย (Diffused
preferences) ผู้บริโภคแต่ละคนมีพฤติกรรมทางการตลาด ความชอบ
ความต้องการ เกี่ยวกับคุณสมบัติของผลิตภัณฑ์แตกต่างกันอย่างมาก ในกรณีนี้โดยทั่วไป
ผู้ผลิตจะเลือกนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาตรฐาน เพราะจะเป็นที่ยอมรับของคนส่วนใหญ่
สำหรับคู่แข่งขันที่เข้ามาในตลาดอาจจะกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ใกล้เคียงกับผลิตภัณฑ์ของบริษัทหรืออาจกำหนดในตำแหน่งที่มีคู่แข่งขันน้อย
ความชอบเป็นกลุ่มหลายกลุ่ม (Clustered
preferences) มีลักษณะคล้ายกับกรณีแรก
แต่ความชอบความต้องการที่เหมือนกันนั้นถูกแบ่งออกเป็นกลุ่มๆ อย่างชัดเจน
ธุรกิจจะเข้าสู่ตลาดโดยมีทางเลือก 3 ทาง คือ
เลือกตำแหน่งศูนย์กลางโดยการนำเสนอผลิตภัณฑ์ที่เป็นมาตรฐานทั่วไป
โดยคาดว่าจะได้การยอมรับจากทุกกลุ่ม
ซึ่งเหมาะกับการใช้นโยบายการตลาดที่ไม่แตกต่างกัน (Undifferentiated
marketing)
เลือกตำแหน่งในส่วนตลาดที่ใหญ่ที่สุดส่วนเดียว
โดยใช้นโยบายการตลาดแบบรวมกำลังหรือมุ่งเฉพาะส่วน (Concentrated
marketing)
เลือกทั้ง 3 กลุ่ม โดยเสนอส่วนประสมทางการตลาด 3
ชุดให้เหมาะสมกับแต่ละกลุ่มเป้าหมาย โดยใช้นโยบายการตลาดที่แตกต่างกัน (Differentiated marketing)
หลักเกณฑ์ในการแบ่งส่วนตลาดผู้บริโภค (Bases for segmenting consumer markets)
ตัวแปรที่สำคัญๆ ที่ถือเป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่งส่วนตลาด เช่น
ลักษณะประชากรศาสตร์ของผู้ซื้อ ลักษณะตัวแปรทางภูมิศาสตร์ ประชากรศาสตร์
จิตวิทยาและพฤติกรรมผู้บริโภคซึ่งใช้เป็นหลักเกณฑ์ในการแบ่งส่วนตลาดผู้บริโภค
โดยตัวแปรเหล่านี้สามารถจัดกลุ่มออกเป็น 2 กลุ่ม คือ (1) ลักษณะของผู้บริโภค (Consumer characteristic) (2) การตอบสนองของผู้บริโภค
(Consumer response) และแบ่งออกเป็น 4 เกณฑ์ คือ (1)
ภูมิศาสตร์ (Geographic) (2) ประชากรศาสตร์ (Demographic)
(3) จิตวิทยา (Psychographic) (4)
พฤติกรรมศาสตร์ (Behavioristic) โดยมีรายละเอียด ดังนี้
การแบ่งส่วนตลาดทางภูมิศาสตร์ (Geographic
segmentation) ในกรณีนี้ตลาดจะถูกแบ่งออกตามสถานที่ที่แตกต่างกัน
เช่น ประเทศ รัฐ จังหวัด อำเภอ ท้องถิ่น หรือหมู่บ้าน
บริษัทต้องระลึกถึงการใช้กลยุทธ์ทางการตลาดที่แตกต่างกันตามที่ตั้งของตลาด
โดยคำนึงลักษณะและพฤติกรรมของแต่ละบุคคลในแต่ละเขตภูมิศาสตร์นั้น
การแบ่งส่วนตลาดตามประชากรศาสตร์ (Demographic
segmentation) การแบ่งส่วนตลาดตามปัจจัยทางประชากรศาสตร์
ได้แก่ อายุ เพศ ขนาด ครอบครัว รายได้ การศึกษา อาชีพ วัฏจักรชีวิตครอบครัว ศาสนา
เชื้อชาติ ตัวแปรทางประชากรศาสตร์เป็นหลักเกณฑ์ที่ใช้กันแพร่หลายมานาน
เนื่องจากช่วยให้เห็นถึงกลุ่มตลาดที่สำคัญ
เนื่องจากความต้องการของผู้บริโภคหรืออัตราการใช้ผลิตภัณฑ์
จะมีความเกี่ยวข้องอย่างสูงกับตัวแปรทางประชากรศาสตร์ ซึ่งตัวแปรทางประชากรศาสตร์วัดได้ง่ายมากกว่าตัวแปรอื่นๆ
การแบ่งส่วนตลาดตามหลักจิตวิทยา (Psychographic
segmentation) จะใช้หลักเกณฑ์ตามความแตกต่างกันของการดำรงชีวิต
หรืออาจใช้ความแตกต่างกันของบุคลิกลักษณะ เป็นตัวแบ่งส่วนตลาด
การแบ่งส่วนตลาดตามพฤติกรรม (Behavioristic
segmentation) การแบ่งตามพฤติกรรมโดยใช้หลักเกณฑ์ความรู้
ทัศนคติ การใช้ผลิตภัณฑ์ หรือการตอบสนองต่อคุณสมบัติผลิตภัณฑ์
หรือโอกาสในการซื้อผลิตภัณฑ์ นักการตลาดเชื่อว่าตัวแปรทางพฤติกรรมศาสตร์
เป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการแบ่งส่วนตลาด
หลักเกณฑ์การแบ่งส่วนตลาดอุตสาหกรรม (Bases for segmenting industrial market)
การแบ่งส่วนตลาดอุตสาหกรรมอาจจะถือเกณฑ์เดียวกันกับตลาดผู้บริโภค
เช่น ภูมิศาสตร์ ประชากรศาสตร์ การแสวงหาผลประโยชน์และอัตราการใช้ เป็นต้น
ประสิทธิผลของการแบ่งส่วนตลาด (Effective segmentation)
เมื่อกำหนดว่าตลาดสำหรับผลิตภัณฑ์มีการแบ่งส่วนตลาดตามเกณฑ์ใดแล้ว
หลักเกณฑ์ในการพิจารณาถึงความเหมาะสมของการแบ่งส่วนตลาดมีดังนี้
ประกฎชัดและวัดออกมาได้
(Measurable) เมื่อทำการแบ่งส่วนตลาดแล้วได้ส่วนตลาดย่อยที่สามารถวัดขนาดและอำนาจในการซื้อของแต่ละส่วนตลาดได้
ตลาดมีขนาดใหญ่พอเพียง (Substantial) เมื่อทำการแบ่งส่วนตลาดแล้วได้ส่วนตลาดย่อยที่มีขนาดความต้องการที่สามารถสร้างยอดขายและกำไรได้มากพอ
สามารถที่จะเข้าถึงได้ (Accessible) เมื่อทำการแบ่งส่วนตลาดแล้วได้ส่วนตลาดย่อยที่บริษัทสามารถเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของตลาดได้
สามารถดำเนินการได้ (Actionable) เมื่อทำการแบ่งส่วนตลาดแล้วได้ส่วนตลาดย่อยที่บริษัทสามารถใช้โปรแกรมการตลาด
จูงใจตลาดเป้าหมายย่างได้ผล
มีลักษณะแตกต่าง (Differentiable) เมื่อทำการแบ่งส่วนตลาดแล้วได้ส่วนตลาดย่อยที่ลูกค้ามองเห็นความแตกต่างของผลิตภัณฑ์และส่วนประสมการตลาดที่แตกต่างจากคู่แข่งขัน
สามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าให้เกิดความพึงพอใจได้
การกำหนดหรือเลือกตลาดเป้าหมาย (Market Target)
การเลือกตลาดเป้าหมายมี 2 ขั้นตอน
การประเมินส่วนตลาด (Evaluating
the market segment) การศึกษาส่วนตลาด 3 ด้าน
คือขนาดและความเจริญเติบโตของส่วนตลาด ความสามารถจูงใจส่วนตลาด
วัตถุประสงค์และทรัพยากรของบริษัท การศึกษา 3 ด้านนี้
มีวัตถุประสงค์เพื่อเลือกส่วนตลาดที่เหมาะสมเป็นเป้าหมายต่อไป
ขนาดและความเจริญเติบโตของส่วนตลาด (Segment
size and growth) ในที่นี้จะคาดคะเนยอดขายและการเพิ่มขึ้นของยอดขาย
ตัวอย่าง การคาดคะเนน้ำยาล้างจาน
ถ้าคาดคะเนว่าตลาดมีขนาดใหญ่และเจริญเติบโตพอสมควรเมื่อขายแล้วจะมีกำไรจาดส่วนตลาดนั้น
ก็ถือว่าเป็นเกณฑ์ที่ตลาดนั้นผ่านตามเกณฑ์ที่ 1.1 และพิจารณาประเด็นอื่นต่อไป
ความสามารถในการจูงใจโครงสร้างส่วนตลาด (Segment structural attractiveness) เป็นการพิจารณาว่าส่วนตลาดนั้นสามารถเข้าถึงและตอบสนองความต้องการของตลาดนั้นได้หรือไม่
วัตถุประสงค์และทรัพยากรของบริษัท (Company
objectices and resources) แม้ว่าความเจริญเติบโตของตลาด
และความสามารถจูงใจตลาดจะเป็นที่น่าพอใจ แต่ถ้าขัดแย้งกับวัตถุประสงค์ของบริษัท
และมีอุปสรรคด้านความชำนาญหรือทรัพยากรไม่เพียงพอ
ก็จะมีปัญหาเกิดขึ้นจากการเลือกส่วนตลาดนั้น
การเลือกส่วนตลาด ( Selecting the
market segment ) จาการที่ประเมินส่วนของตลาดที่เหมาะสมในข้อหนึ่งแล้ว
บริษัทอาจเลือกหนึ่งส่วนตลาดหรือหลายส่วนเป็นเป้าหมาย โดยมีวิธีเลือก ดังนี้
การตลาดที่ไม่แตกต่างหรือการตลาดที่เหมือนกัน (Undifferentiated marketing) เป็นกลยุทธ์การตลาดที่เสนอผลิตภัณฑ์หนึ่งรูปแบบโดยมองว่าตลาดมีความต้องการเหมือนๆ
กัน
บริษัทจะพยายามออกแบบผลิตภัณฑ์และวางโครงการทางการตลาดที่ดึงดูดใจผู้ซื้อให้มากที่สุด
ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับการเพิ่มขึ้น การเพิ่มช่องทางการจำหน่ายและการโฆษณาหลายๆ ด้าน
จะให้แนวความคิดอย่างแพร่หลายเพื่อทำให้เกิดภาพลักษณ์ที่ดีต่อผลิตภัณฑ์
แม้ว่าผลิตภัณฑ์จะมีความแตกต่างกันจริงหรือไม่ก็ตาม
จะทำให้สินค้าของบริษัทแตกต่างจากสินค้าของคู่แข่งขัน ตัวอย่างของการตลาดแบบนี้
ได้แก่ สปอนเซอร์ ลูกขนไก่ น้ำแข็งยูนิค น้ำดื่มไบเล่ย์ สบู่นกแก้ว
การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Product Positioning)
ตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Product Position) หมายถึง
การรับรู้ของผู้บริโภคในเชิงความรู้สึกนักคิดหรือทัศนคติต่อสินค้าหรือบริการขององค์กรเมื่อเปรียบเทียบกับสินค้าหรือบริการของคู่แข่งขัน
การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ (Product Positioning)
เป็นกระบวนการทางการตลาดเพื่อสร้างและรักษาแนวความคิดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของธุรกิจให้เกิดขึ้นในจิตใจของลูกค้าเมื่อเทียบกับตราสินค้าของคู่แข่งขันซึ่งต้องอาศัยกระบวนการสื่อสารทางการตลาดโดยการดึงจุดเด่นที่เป็นเอกลักษณ์
(Unique Selling Proposition: USP) มาใช้ในการสื่อสารตอกย้ำให้เกิดเป็นภาพลักษณ์ที่เป็นที่จดจำและโดดเด่นเมื่อผู้บริโภคนึกถึงผลิตภัณฑ์ของบริษัทในเชิงเปรียบเทียบกับผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง
โดยการกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์นั้นอาจสามารถทำได้โดย
- การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ตามคุณลักษณะภายนอกที่สังเกตเห็นได้ของผลิตภัณฑ์ เช่น ขนาด ความเก่าแก่ของตรายี่ห้อ
- การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ตามผลประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับ
- การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ตามคุณลักษณะของลูกค้า
- การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ตามความเหนือกว่าในเชิงเปรียบเทียบกับคู่แข่งขัน
- การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ตามประเภทของผลิตภัณฑ์
- การกำหนดตำแหน่งผลิตภัณฑ์ตามคุณสมบัติ คุณภาพ และราคา ของผลิตภัณฑ์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น