สินค้าท่องเที่ยวคืออะไร
ก่อนที่จะเข้าสู่การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดควรที่จะมาทำความเข้าใจถึงสินค้าทางการท่องเที่ยว
เพื่อจะได้รู้จักสภาพทางการตลาดของการท่องเที่ยว
ข้อมูลในส่วนนี้จึงได้นำเสนอเกี่ยวกับลักษณะเฉพาะของสินค้าท่องเที่ยวที่ต่างไปจากสินค้าบริโภคอื่น
ๆ
คำว่า “สินค้า”
หลายคนคงจะนึกถึงวัตถุสิ่งของที่ลูกค้าจะสามารถเลือกซื้อโดยการหยิบขึ้นมาดู
ดูรายละเอียดของสินค้าทุกแง่ทุกมุมก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้าเหล่านั้น
เมื่อเทียบกับสินค้าและบริการของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวแล้วแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงทั้งนี้เพราะคุณลักษณะของสินค้าท่องเที่ยวนั้นพิเศษกว่าสินค้าประเภทอื่นๆ
4 ประการดังนี้
1. สินค้าท่องเที่ยวมีลัีกษณะจับต้องไม่ได้ (intangibility) หมายถึงสินค้าที่ไม่สามารถมองเห็นได้
จับต้องไม่ได้ สัมผัสหรือได้ยิน ก่อนการตัดสินใจซื้อสินค้า
ผู้ขายไม่สามารถยกเอาสินค้าท่องเที่ยว
เช่นน้ำตกไนแองการ่ามาให้นักท่องเที่ยวดูก่อน
สัมผัสก่อนที่จะตัดสินใจซื้อทัวร์ไปเที่ยว บางครั้งเราเรียกสินค้าท่องเที่ยวว่าเป็น Information
product เพราะเป็นสินค้าที่ต้องให้ข้อมูลรายละเอียดสินค้ามากที่สุด
ดีที่สุด
เสมือนจริงที่สุดแทนการนำเสนอสินค้าที่เป็นของจริงให้นักท่องเที่ยวได้สัมผัส
เพื่อสร้างความมั่นใจก่อนการตัดสินใจ
*** ทำอย่างไรที่จะนำนักท่องเที่ยวมาใช้บริการและซื้อสินค้าให้มากที่สุดโดยการนำข้อมูลข่าวสารที่ถูกต้อง
ครบถ้วน ให้นักท่องเที่ยวเพื่อใช้ในการติดสินใจซื้อสินค้าและบริการ
2. สินค้าไม่สามารถแยกส่วนได้ (inseparability) สินค้าบริการของอุตสาหกรรมท่องเที่ยวไม่สามารถแยกเป็นส่วน ๆ
ได้อย่างเช่นสินค้าอื่น ทั้งนี้เพราะในการเดินทางไปท่องเที่ยวหนึ่งครั้งจะต้องใช้บริการหลายอย่าง
จะขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไม่ได้เช่น บริการรถขนส่ง ร้านอาหาร โรงแรมที่พัก
ร้านขายของที่ระลึก อื่น ๆ อีกมากมาย ที่มีความสัมพันธ์กันไม่สามารถแยกออกจากกันได้
*** ทำอย่างไรที่จะติดต่อสื่อสารระหว่างภาคส่วนต่างในอุตสาหกรรมที่ประหยัดค่าใช้จ่าย
รวดเร็ว และมีประสิทธิภาพมากที่สุด
นอกจากนี้ยังมีความสำคัญต่อรายได้ภาคการท่องเที่ยวทั้งนี้จากเหตุผลที่สินค้าเกี่ยวข้องกับธุรกิจจำนวนมาก
หากรายได้ภาพรวมมีปัญหาจะกระทบต่อธุรกิจที่เกี่ยวข้องจำนวนมากซึ่งจะมากกว่าภาคอุตสาหกรรมอื่น
3. สินค้ามีความแตกต่างกัน (variability) การบริการการท่องเที่ยวมีความแตกต่างกันอย่างมาก
ในที่นี้หมายถึงผู้ผลิตแต่ละคน
ผู้บริโภคแต่ละคนมีประสบการณ์ที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัวซึ่งจะมีอิทธิพลที่ไม่สามารถคาดเดาได้ทั้งนี้เพราะเป็นปัจจัยเรื่องคนรวมถึงอารมณ์
ความคาดหวัง ระดับความพึงพอใจและทัศนคติของนักท่องเที่ยว
***
ทำอย่างไรที่จะเข้าใจในพฤติกรรมนักท่องเที่ยวเพื่อสร้างสินค้าและบริการให้ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยว
และนักท่องเที่ยวเกิดความพึงพอใจกลับมาใช้บริการอีกครั้ง
4. สินค้าสูญเปล่า (perishability) หมายถึงสินค้าท่องเที่ยวเป็นสินค้าที่เกิดขึ้นตลอดเวลาถึงแม้ไม่มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการ
น้ำตกจะตกต่อเนื่องตลอดเวลา 24 ชั่วโมง ถึงแม้จะไม่มีนักท่องเที่ยวมาใช้บริการก็ตาม
***
ทำอย่างไรที่จะนำนักท่องเที่ยวมาใช้บริการและซื้อสินค้าให้มากที่สุดเพราะสินค้าท่องเที่ยวไม่ต้องลงทุนมากเพราะมีอยู่แล้ว
5. สินค้าไม่มีความยืดหยุ่น (inflexibility) สินค้าท่องเทียวไม่สามารถปรับให้ตรงกับความต้องการของนักท่องเที่ยวได้
เช่นโรงแรมไม่สามารถเพิ่มหรือลดห้องได้หากนักท่องเที่ยวมาเที่ยวจำนวนมากหรือน้อย
*** ทำอย่างไรในการบริหารจัดการที่ดีเพื่อให้เกิดความลงตัวของจำนวนสินค้าและบริการกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่มาใช้บริการ
จะเห็นได้ว่าสินค้าท่องเที่ยวมีลักษณะพิเศษแตกต่างไปจากสินค้าอุตสาหกรรมอื่นอย่างมาก
การพัฒนาการท่องเที่ยวจึงต้องพิจารณาไปพร้อมกันทั้งส่วนที่เป็นมหภาค
ในระดับมหภาคเช่น การกำหนดนโยบายของรัฐบาลในการสร้าง กระตุ้น สนับสนุน
เชิญชวนให้เกิดการท่องเที่ยวทั้งในและต่างประเทศ และจุลภาค เช่น
การสร้างชุมชนให้เข็มแข็งเพื่อรองรับการท่องเที่ยวในชุมชน เป็นต้น
การใช้เทคโนโลยีเป็นเครื่องมือจึงเป็นทางเลือกที่น่าจะเหมาะสมเพื่อช่วยในการพัฒนาการท่องเที่ยวได้แก่
การใช้ในการบริหารสำนักงาน ใช้ในการติด่อสื่อสาร
ใช้ในการประชาสัมพันธ์ข้อมูลข่าวสารสู่ลูกค้า ใช้ในการจำหน่ายสินค้าและบริการ
เป็นต้น
นิยาม “ตลาด” ทางการท่องเที่ยว (Defining markets)
โดยทั่วไปเมื่อพูดถึงคำว่า “ตลาด”
จะเป็นที่เข้าใจกันโดยทั่วไปว่าเป็นระบบการจัดการที่ให้ผู้ซื้อ (buyer) และผู้ผลิต (producer) ได้มาทำธุรกรรมระหว่างกัน แต่ในเทอมของการกำหนดกลยุทธ์ทางการตลาด ททท.
ได้นิยามคำว่าขณะที่กลุ่มผู้ขายหรือผู้ผลิต (Supply side) จะหมายถึงตัวอุตสาหกรรม (Industry)
การกำหนดขอบเขตของคำว่า “ตลาด”
ที่ชัดเจนจะเป็นจุดเริ่มต้นที่ดีต่อการกำหนดหรือพัฒนากลยุทธ์ทางการตลาดและเป็นกรอบในการวัดผลสำเร็จด้านการแข่งขันกับคู่แข่งต่าง
ๆ ได้ชัดเจน รวมไปถึงความง่ายต่อการวิเคราะห์หาโอกาสหรือข้อจำกัดในการวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาด
ซึ่งการท่องเที่ยว ฯ ได้นิยามคำว่าตลาดตามการแบ่งกลุ่มตลาด ออกเป็น 3 ลักษณะหลัก
คือ
แบ่งตามพื้นที่อยู่อาศัยของผู้บริโภค (Segmentation based on Geographic)
แบ่งตามคุณลักษณะของผู้บริโภค (Segmentation
based on Demographic)
แบ่งตามพฤติกรรมผู้บริโภค (Segmentation
based on buyer behavior)
กลุ่มตลาดตามพื้นที่อยู่อาศัย
การแบ่งกลุ่มตลาดในลักษณะนี้จะตอบคำถามว่า “ผู้บริโภคอยู่ที่ไหน”
ซึ่งตั้งอยู่บนสมมุติฐานว่า
กลุ่มตลาดซึ่งมาจากที่เดียวกันหรือใกล้เคียงกันจะมีลักษณะที่คล้ายคลึงกัน
หรือมีเงื่อนไขในการเดินทางที่ใกล้เคียงกัน ซึ่งหารแบ่งกลุ่มตลาดในลักษณะนี้
ยังเป็นการง่ายต่อการวัดผลทางการตลาด
และง่ายตอการกำหนดแผนปฏิบัติงานในการขยายพื้นที่ตลาด เช่น
การแบ่งกลุ่มนักท่องเที่ยวเป็นกลุ่มยุโรป กลุ่มเอเชีย หรือ ตลาดญี่ปุ่น
ตลาดฝรั่งเศส เป็นต้น
กลุ่มตลาดตามคุณลักษณะ
กลุ่มตลาดที่กล่าวถึงจะตอบคำถามว่า “ใครเป็นผู้ซื้อ”
เพื่อง่ายต่อการรู้จักลูกค้าของตน
การแบ่งกลุ่มลูกค้าในลักษณะนี้จะดูคุณสมบัติของลูกค้าเป็นหลักตามสมมุติฐานว่า
กลุ่มลูกค้าที่มีคุณสมบัติเหมือนกันจะมี life
style ที่คล่ายคลึงกัน ซึ่งแบ่งออกเป็น
- ตามอายุ เช่น
วัยรุ่น หนุ่มสาว ผู้สูงอายุ เป็นต้น
- ตามเพศ คือ หญิง ชาย
- ตามอาชีพ เช่น
กลุ่ม Professional กลุ่ม administrative
& Managerial กลุ่ม commercial personal เป็นต้น
- ตามวงจรชีวิตครอบครัว
(Family life cycle) เช่น กลุ่มหนุ่มสาวโสด
กลุ่มคู่แต่งงานใหม่ กลุ่มครอบครัวที่มีบุตร กลุ่มเกษียณอายุ
กลุ่มตลาดตามพฤติกรรมผู้บริโภค
ในสองกลุ่มตลาดข้างต้นจะพิจารณาคุณสมบัติ (Characteristic) ของผู้บิโภคเป็นหลัก
แต่การแบ่งกลุ่มตลาดตามพฤติกรรมการบริโภค จะพิจารณาจากทัศนคติ การตอบสนองต่อสินค้า
หรือประเภทของสินค้าที่บริโภค เช่น แบ่งเป็นกลุ่มตลาดเพื่อพักผ่อนทั่วไป (leisure) กลุ่มฮันนีมูน การดำน้ำ กลุ่ม MICE กลุ่มท่องเที่ยวเพื่อสุขภาพ
เป็นต้น
การแบ่งกลุ่มตลาดวิธีนี้จะช่วยให้ธุรกิจหรืออุตสาหกรรม
สามารถวิเคราะห์ จุดแข็ง
หรือจุดอ่อนของตนต่อความพร้อมในการรองรับกลุ่มตลาดซึ่งมีความชัดเจนในความต้องการของผู้บริโภคได้ง่ายขึ้น
และจะเป็นประโยชน์ต่อการกำหนดแนวทางการดำเนินงานด้านการตลาดในลักษณะ Target marketing ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การวิเคราะห์สภาพแวดล้อมทางการตลาดและระบบการตลาด
จากแนวความคิดทางการตลาดและหน้าที่ทางการตลาดที่ทำให้ความสำคัญต่อการตอบสนองความต้องการของลูกค้าไปพร้อม
ๆ
กับการบรรลุวัตถุประสงค์ของธุรกิจซึ่งกิจการต้องดำเนินการอย่างเป็นระบบใช้กลยุทธ์การตลาดเกี่ยวกับการประสมทางการตลาด
ได้แก่ผลิตภัณฑ์ราคาช่องทางการจัดจำหน่ายการ ส่งเสริมทางการตลาดให้เกิดความเหมาะสม
กับสภาพแวดล้อมทางการตลาดในขณะนั้นสภาพแวดล้อมภายนอกสภาพแวดล้อมภายในด้วยกระบวนการบริหารทางการตลาดที่มีประสิทธิภาพ
ความหมายของสภาพแวดล้อมทางการตลาด
สภาพแวดล้อมทางการตลาด หมายถึง
สิ่งแวดล้อมภายนอกและสิ่งแวดล้อมภายในที่มีผลต่อโปรแกรมทางการตลาดของบริษัท
ซึ่งสิ่งแวดล้อมภายนอกธุรกิจเป็นสิ่งแวดล้อมที่มีธุรกิจควบคุมไม่ได้แต่สิ่งแวดล้อมภายในธุรกิจเป็นสิ่งแวดล้อมที่ธุรกิจควบคุมได้
สิ่งแวดล้อมทางการตลาด หมายถึง
ปัจจัยทุกชนิดที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานด้านการตลาดและด้านอื่นๆของธุรกิจปัจจัยที่ส่งผลกระทบมีได้หลายปัจจัยและปัจจัยจะส่งผลในเวลาเดียวกันหรือต่างเวลากันก็ได้ทำให้มีการพิจารณาในลักษณะของผลรวม
สิ่งแวดล้อมทางการตลาด หมายถึง
ขายนอกต่างๆที่นักการตลาดไม่สามารถควบคุมได้หรืออาจควบคุมได้เพียงบางส่วนอีกครั้งจะมีการเปลี่ยนแปลงได้ตลอดเวลา
ที่สำคัญคือปัจจัยการต่างเหล่านั้นสามารถสร้างโอกาส
หรือก่อให้เกิดอุปสรรคทางการตลาดให้มีการดำเนินกิจกรรมทางการตลาดไม่เป็นไปตามแผนงานที่กำหนดไว้จึงมีความสำคัญต่อการตัดสินใจทางการตลาดอย่างมาก
สรุปได้ว่าสภาพแวดล้อมทางการตลาด หมายถึง
ปัจจัยต่างๆที่มีอิทธิพลหรือมีผลกระทบต่อการดำรงการทางการตลาดโดยเฉพาะในด้านการวางแผนการตลาดการสร้างโอกาสทางการตลาดการจำกัดขอบเขตการตลาด
และการตัดสินใจทางการตลาดในด้านต่างๆ
ความสำคัญของสภาพแวดล้อมทางการตลาด
การดำเนินการตลาดให้ประสบความสำเร็จนั้น
นักการตลาดต้องมีความรู้ความเข้าใจและมีความสามารถในการนำข้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางการตลาดภายนอก
และทำการวิเคราะห์และบริหารจัดการเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางตลาดภายในให้สอดคล้องกับสภาพแวดล้อมของตลาดภายนอกที่เกี่ยวข้องเพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินงานของการตลาดได้อย่างเหมาะสมกับโอกาสและจังหวะเวลา
สามารถตอบสนองความต้องการทางการตลาดได้อย่างมีประสิทธิภาพและประสบผลสำเร็จตามวัตถุประสงค์และนโยบายที่กิจการกำหนดไว้ซึ่งพอสรุปความสำคัญของสภาพแวดล้อมทางการตลาดได้ดังนี้
1. สามารถนำมาวิเคราะห์ถึงโอกาส อุปสรรค
เพื่อศึกษาและพยากรณ์ถึงผลกระทบที่เกิดขึ้นกับธุรกิจเพื่อหาแนวทางในการสร้างความสำเร็จหรือป้องกันผลกระทบที่เกิดขึ้นกับกิจการได้
2. สามารถนำข้อมูลมาใช้ประกอบในการตัดสินใจ เพื่อกำหนดแผนการทางการตลาดให้มีความเหมาะสมกับสถานการณ์ในขณะนั้นๆได้
3. สามารถรับรู้การเคลื่อนไหวของสถานการณ์ในด้านต่างๆได้ทันเวลา
ทำให้มีข้อมูลทั้งสมัยในการนำมาบริหารจัดการได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
4. สามารถปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายใน ดูสภาพพยากรณ์ทั้งหมดที่กิจการหรือธุรกิจมีอยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
5. สามารถค้นพบตลาดใหม่ๆ
ทำให้สามารถขยายตลาดได้อย่างต่อเนื่องตัวอย่างเช่นช่วงเวลาวันที่ 26 กันยายนถึง 5
ตุลาคม 2556 เป็นเทศกาลของคนใจบุญประเพณีการกินเจ
(เป็นสภาพแวดล้อมทางการตลาดภายนอกเรียกว่าปัจจัยทางด้านสังคมวัฒนธรรม) ปีนี้คึกคัก นักการตลาดสามารถนำมาใช้เป็นโอกาสในการกำหนดแนวทางการทำการตลาดเกี่ยวกับสินค้าและบริการ
(เป็นการปรับเปลี่ยนสภาพแวดล้อมภายในเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดด้านผลิตภัณฑ์)
เพื่อใช้ในการวางแผนตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มที่นิยมกินเจและบำเพ็ญบุญในช่วงเวลาดังกล่าว
องค์ประกอบของสภาพแวดล้อมทางการตลาด
สภาพแวดล้อมทางการตลาดประกอบด้วยองค์ประกอบที่สำคัญ 2 ประการ ได้แก่
สภาพแวดล้อมทางการตลาดภายนอก ประกอบด้วย
ปัจจัยต่างๆ ที่กิจการหรือธุรกิจไม่สามารถควบคุมได้ หรืออาจเรียกว่าปัจจัยนอกหรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ Uncontrollable
or Internal Factors สภาพแวดล้อมทางการตลาดภายในประกอบด้วยปัจจัยในองค์การที่สามารถปรับเปลี่ยนได้หรืออาจเรียกอีกอย่างว่าปัจจัยภายในหรือปัจจัยที่ควบคุมได้ controllable
or Internal Factors
ปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ External or Uncontrollable Factors
ปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ หมายถึง
ปัจจัยต่างๆที่มีผลกระทบต่อการดำเนินงานทางการตลาดในด้านต่าง ๆ
เป็นปัจจัยซึ่งกิจการไม่สามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามที่กิจการต้องการได้กิจการจำเป็นต้องมีการศึกษาปัจจัยต่าง
ๆ เหล่านี้เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานการการตัดสินใจในการวางแผน
หรือดำเนินงานทางการตลาดให้เกิดความสอดคล้องกับการเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเหล่านี้ซึ่งปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ประกอบด้วยตัวแปรที่สำคัญสรุปได้
8 ประการดังนี้
1. ตัวแปรเกี่ยวกับวัฒนธรรมและสังคม Cultural
and Social Variables เป็นปัจจัยที่มีอยู่
นอกเหนืออำนาจที่นักการตลาดจะควบคุมได้
เป็นปัจจัยที่มีความเกี่ยวข้องกันกับคนในสังคมที่เป็นกลุ่มตลาดเป้าหมาย
กิจการจำเป็นต้องมีการศึกษาปัจจัยต่างๆเหล่านี้เพื่อนำมาเป็นข้อมูลพื้นฐานการกลับทางการตัดสินใจ
ในการวางแผนการดำเนินงานทางการตลาดให้เกิดความสอดคล้องกับความเปลี่ยนแปลงของปัจจัยเหล่านี้ซึ่งปัจจัยภายนอกหรือปัจจัยที่ควบคุมไม่ได้ประกอบตัวแปรที่สำคัญสรุปได้
8 ประการดังนี้
1.1 วัฒนธรรมคือ ความเชื่อ ค่านิยม บรรทัดฐาน แนวความคิด
แนะแนวการปฏิบัติของกลุ่มคนในสังคมทั้งนี้เนื่องจากสังคมขนาดใหญ่ประกอบด้วยสังคมขนาดเล็กมากมายหลากหลายอาชีพ
ศาสนาหลายเชื้อชาติและในทางสังคมเยอะๆจะมีการสืบทอดวัฒนธรรมของกลุ่มที่มีความเชื่อ
หรือค่านิยมที่แตกต่างกันทำให้เกิดรูปแบบของวัฒนธรรมที่หลากหลายแตกต่างกันออกไป
กลุ่มคนที่อยู่ในสังคมเดียวกันมีรูปแบบวัฒนธรรมเดียวกันจะมีพฤติกรรมและวิถีการดำเนินชีวิตที่คล้ายคลึงกัน
1.2 สังคม
องค์ประกอบของสังคมที่สำคัญที่สุดได้แก่คนและสังคมที่เล็กที่สุดคือสังคมครอบครัว
ซึ่งจะเป็นสิ่งที่กำหนดค่านิยม ทัศนคติ ความคิดเห็นต่าง
แนวทางปฏิบัติในสังคมนั้นการศึกษาสภาพแวดล้อมทางสังคมจะทำให้เกิดความ ความรู้
ความเข้าใจ เกี่ยวกับการปฏิบัติของคนในสังคมแต่ละกลุ่มเป็นอย่างดี
ซึ่งสามารถพิจารณาได้จากครอบครัวหรือกลุ่มอ้างอิงและหนทางสังคมและนำข้อมูล
เกี่ยวกับการปฏิบัติมากำหนดแนวการดำเนินงานทางการตลาดให้เหมาะสมกับความต้องการของสังคมนั้น
ๆ ต่อไป
1.3 ประชากร หมายถึง
อัตราการเกิดและการอพยพของคนในสังคมต่างๆและคนคือปัจจัยสำคัญในการทำให้เกิดสินค้าและบริการต่างๆ
คนเสื้อดำมาตอบสนองความต้องการ และจะนำมาปริมาณมากหรือปริมาณน้อยเพียงใดนั้น
สามารถพิจารณาได้จากการเปลี่ยนแปลงของจำนวนประชากรในสังคมถ้าหากประชาการเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่เพิ่มขึ้นอัตราการเจริญเติบโตหรือการขยายตัวของตลาดจะมีโอกาสเพิ่มขึ้นตามไปด้วย
แต่ในทางตรงข้าม
หากว่าถ้าการเปลี่ยนแปลงไปในลักษณะที่ลดลงอัตราการขยายตัวทางการตลาดก็จะลดลงด้วยเช่นกัน
2. ตัวแปรที่เกี่ยวกับการเมืองและกฏหมาย Political and legal Variables ตัวแปรทางการเมืองกฏหมายและข้อตกลงต่าง
ๆ
ระหว่างหน่วยงานทั้งในและต่างประเทศเป็นปัจจัยที่มีความสัมพันธ์กับการดำเนินกิจการดำเนินกิจกรรมต่าง
ๆ ทางธุรกิจ และทางด้านการตลาด เพราะธุรกิจทุกชนิด ทุกประเภททุขนาดต้องดำเนินงานภายใต้กฏหมาย
ระเบียบ และข้อปฏิบัติที่กำหนด ปรับตัวไปตามสภาพการเมืองของแต่ละประเทศ
เป็นความจริงที่ว่าในการดำเนินธุรกิจมีจุดมุ่งหมายหลักที่สำคัญคือผลกำไร
แต่การแสวงหาผลกำไรที่ได้จะต้องดำเนินงานอยู่ภายใต้ขอบเขตที่กฏหมายกำหนดด้วย มิใช่คำนึงแต่กำไรสูงสุดตามที่กิจการต้องการ
แต่ถ้าการดำเนินงานผิดกฏหมาย ขัดต่อระเบียบข้อบังคับก็ย่อมเป็นไปไม่ได้
ดังนั้นรัฐบาลจึงมีน่าที่เข้ามากำกับควบคุมดูแลสนับสนุนและอำนวยความสะดวกเพื่อให้การดำเนินกิจการธุรกิจกับผู้บริโภคหรือระหว่างผู้ประกอบธุรกิจหรือธุรกิจหรือระหว่างธุรกิจกับสังคมเช่นการจัดตั้งคณะกรรมการควบคุมผู้บริโภค
กฎหมายควบคุมทางการค้าในลักษณะต่างๆกฎหมายที่เกี่ยวกับสวัสดิภาพของสังคม
กฎหมายเกี่ยวกับลิขสิทธิ์และสิทธิบัตรเป็นต้น
ฉะนั้นนักการตลาดต้องทำการศึกษาเกี่ยวกับกฎหมายเข้าถึงสภาพการเมืองและประเทศที่การดำเนินทางการตลาดเข้าไปเกี่ยวข้องว่ามีลักษณะเป็นอย่างไ
รเป็นการเปิดโอกาสหรือเป็นการสร้างปัญหา
หรืออุปสรรคในการดำเนินงานก่อนที่จะตัดสินใจการกำหนดแผนงานทางการตลาดที่จะปฏิบัติเพื่อให้กิจกรรมต่างๆทางการตลาดเกิดความสอดคล้องสภาพการเมืองการปกครองและสามารถดำเนินการได้อย่างถูกต้อง
3. ตัวแปรเกี่ยวกับธุรกิจ Economic
Variables การเปลี่ยนแปลงของภาวะเศรษฐกิจเป็นตัวแปรที่สำคัญอีกประการหนึ่ง
ที่มีผลต่อการตัดสินใจทางการตลาดและสภาพทางเศรษฐกิจ
และมีผลกระทบโดยตรงแต่อำนาจซื้อขายของผู้บริโภคกล่าวคือ
ถ้าหากภาวะเศรษฐกิจเติบโตประชาการจะมีอำนาจซื้อสูง
การตลาดจะเกิดการขยายตัวในทางตรงกันข้ามเมื่อหาและเศรษฐกิจตกต่ำอำนาจซื้อของคนจะลดลงการตลาดซบเซาตามไปด้วย
ฉนั้นนักการตลาดจึงควรติดตามความเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์ทางเศรษฐกิจในขณะนั้น
4. ตัวแปรเกี่ยวกับการแข่งขัน Competition
Variables ระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยม
นักธุรกิจรู้ดีว่าสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ในการดำเนินงาน คือ การแข่งขัน
เพราะในระบบเศรษฐกิจแบบทุนนิยมเป็นระบบที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจต่าง ๆ
เข้ามาดำเนินการได้อย่างกว้างขวาง หากมีความสมารถและศักยภาพในการดำเนินงานเพียงพอ
ทำให้ธุรกิจแต่ละประเภทมีผู้เช้ามาดำเนินการมากมาย
แต่ละธุรกิจจะพยายามพัฒนากลยุทธ์การตลาดในต้านต่าง ๆ
ให้เท่าเหนือกว่าคู่แข่งขันในทุก ๆ ด้าน
เพื่อทำให้ผลิตภัณฑ์ของตนเป็นที่ต้องการของตลาดให้มากที่สุด
ธุรกิจจึงสามารถอยู่รอดและเจริญเติบโอต่อไปได้ คู่แข่งขันในทางการตลาดมี 3 ลักษณะ
คือ คู่แข่งขันทางตรง ได้แก่
กิจการที่นำเสนอสินค้าหรือบริการประเภทเดียวกันส่่วนคู่แข่งขันทางอ้อม ได้แก่
กิจการที่นำเสนอสินค้าหรือบริการที่สามารถใช้ทดแทนในรูปแบบต่าง ๆ
และคู่แข่งขันลักษณะสุดท้าย คือ คู่แข่งที่มีโอกาสเข้ามาในอุตสาหกรรม
การศึกษาเกี่ยวกับคู่แข่งขัน นักการตลาดหรือผู้ประกอบการควรศึกษาและทำความเข้าใจเกี่ยวกับความรุนแรงของสถานการณ์การแข่งขัน
จำนวนคู่ แข่งขันและขนาดของคู่แข่งขัน ซึ่งสามารถประเมินได้จากขนาดการลงทุน ยอดขาย
หรือส่วนแบ่งตลาดจำนวนพนักงาน และสัดส่วนกำลังการผลิตหรือกำลังในการให้บริการ
รวมทั้งประเด็นที่สำคัญเกี่ยวกับจำนวนและจุดยืนของคู่แข่งขัน
รวมถึงจุดแข็งของคู่แข่งขันเพื่อนำมาใช้ในการกำหนดแนวทางในการสร้างความแตกต่างของผลิตภัณฑ์และสามรถแข่งขันกับคู่แข่งขันได้อย่างมีประสิทธิภาพและเกิดประสิทธิผล
อย่างไรก็ดีการศึกษาเกี่ยวกับคู่าแข่งขันให้เกิดประสิทธิภาพ
ผู้ประกอบการควรกำหนดวีธีการในการจัดเก็บข้อมูลเกี่ยวกับความเคลื่นไหวของคู่แข่งขันอยู่ตลอดเวลาทั้งใน
ด้านคุณภาพของสินค้าหรือบริการ การเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับระดับ ราคา
รูปแบบของการส่งเสริมการตลาดที่นำมาใช้เพื่อนำข้อมูลที่ได้ไปใช้ประโยชน์ในการวางแผนและกำหนดกิจกรรมทางการตลาดของกิจการ
5. ตัวแปรเกี่ยวความก้าวหน้าด้านเทคโนโลยี Technology Variables ปัจจุบันความก้าวหน้าทางเทคโนโลยีได้เข้ามามีบทบาทสำคัญอย่างมากต่อการผลิต
การดำเนินงานทางการตลาด หรือการดำเนินธุรกิจทุกประเภท
เพราะความก้าวหน้าทางเทึโนโลยีสามารถนำมาใช้เพื่ออำนวยความสะดวกและเพิ่มศักยภาพในการดำเนินงาน
เช่น ธุรกิจการผลิตนำมาใช้ในการผลิต ทำให้ได้ประมาณสินค้า
หรือบริการที่เพียงพอต่อความต้องการ การผลิตมีประสิทธิภาพมากขึ้น
ธุรกิจการตลาดนำมาใช้ในการจัดจำหน่ายและให้บริการแก่ผู้บริโภคได้รวดเร็ว
ถุกต้องแม่นยำมากขึ้น
ส่วนผู้บริโภคจะได้รับสินค้าที่เพียงพอต่อความต้องการในเวลาที่เหมาะสม
ส่งผลให้การดำเนินชีวิตของประชากรในสังคมดีขึ้น เช่น
ธุรกิจการผลิตนำเครื่องจักรที่ทันสมัย มีกำลังการผลิตสูงมาใช้
ทำให้ได้สินค้าในปริมาณมากขึ้น รวดเร็วขึ้น ทำให้การตอบสนองความต้องการของลูกค้าเป็นไปอย่างทั่วถึงและรวดเร็ว
ในด้านการจัดเก็บและการวิเคราะห์ข้อมูลข่างสารต่าง ๆ มีความถูกต้องเป็นระบบมากขึ้น
เช่น การนำเครื่องบันทึกเงินสดมาใช้ควบคู่กับเครื่องอ่านแถบรหัสสินค้า Bar
Code เพื่อคิดราคาสินค้าในธุรกิจการค้าปลีก
ทำให้การบริการรวดเร็วสามารถจัดทำบัญชีและควบคุมสินค้าคงกลังไปพร้อม ๆ กัน
การดำเนินงานเกิดความถูกต้องและให้ข้อมูลที่เป็นปัจจุบันทำให้การดำเนินงานมีความถูกต้องและรวดเร็ว
การวางแผนทางการตลาด
และการดำเนินกิจการทางการตลาดสามารถบรรลุตามเป้าหมายที่กำหนดแนวโน้มทางการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีต่าง
ๆ มีอิทธิพลหรือมีบทบาท
โดยตรงต่อรูปแบบการผลิตการจัดจำหน่ายและการนำเสนอสินค้าหรือบริการของกิจการโดยทั่วไป
แล้วการนำ
เทคโนโลยีมาใช้ในธุรกิจจะมีบทบาทสำคัญในการลดขั้นตอนการปฏิบัติงานระยะเวลา
และข้อผิดพลาดทางการดำเนินงานทำให้กิจการสามารถผลิตจัดจำหน่าย หรือบริการแก่ผู้บริโภคได้อย่างรวดเร็วถูกต้องและสร้างความพึงพอใจได้มากขึ้นจากนี้ยังมีการลดต้นทุนและข้อผิดพลาดในการดำเนินงานอีกด้วย
6. ตัวแปรที่เกี่ยวกับคนกลางทางการตลาด Middlemen Variables คนกลางที่มีอยู่ในตลาดเป็นปัจจัยสำคัญต่อการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ไปสู่ตลาดเป้าหมายคนกลางทางการตลาดมีหลายประเภท
แต่ละประเภทจะทำงานเป็นอิสระมากหรือน้อยเพียงใด
ขึ้นอยู่กับลักษณะการดำเนินงานขนาดของการประกอบการ
การดำเนินงานทางการตลาดผู้ประกอบการจำเป็นต้องอาศัยคนกลางประเภทต่าง ๆ
เพื่อใช้เป็นช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้าหรือบริการซึ่งผู้ประกอบการจะต้องเสนอผลตอบแทนและเงื่อนไขที่คนกลางพอใจ
คนกลางจึงจัดเต็มใจในการจัดจำหน่ายสินค้าหรือบริการให้แต่การที่ผู้ประกอบการเลือกใช้คนกลางประเภทใดจำนวนใดมากเพียงใดนั้น
สามารถพิจารณาได้จากลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่กิจการจะจัดจำหน่ายช่องทางการจัดจำหน่าย
คู่แข่งในตลาดผู้บริโภคหรือตลาดค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นและผลตอบแทนที่จะได้รับเป็นต้น
7.
ตัวแปรที่เกี่ยวกับกลุ่มผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบและเครือข่ายกิจการ Suppliers Network Variables ผู้ประกอบการต้องรู้จักองค์กรและหน่วยงานต่าง
ๆ ทั้งในภาครัฐบาลและเอกชนสามารถให้การสนับสนุนและช่วยส่งเสริมสนับสนุนและความสามารถในการดำเนินธุรกิจของกิจการใน
4 ด้านดังนี้
1.
ด้านวัตถุดิบตลอดจนเครื่องมือและอุปกรณ์ในการผลิตหรือการจัดให้บริการฮาร์ดแวร์ได้แก่บริษัทที่ผลิตจำหน่ายหรือนำเข้าวัตถุดิบเครื่องจักรเครื่องมือและอุปกรณ์ต่าง
ๆ
ที่จะช่วยให้กระบวนการการผลิตหรือการให้บริการมีต้นทุนที่ต่ำลงมีประสิทธิภาพและประสิทธิผลที่มากขึ้นเช่นผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายผลิตภัณฑ์ด้านการเกษตรและสินค้าการเกษตรแปรรูปกระดาษเหล็กและอลูมิเนียมตลอดจนเครื่องจักรเครื่องมือ
เช่น เครื่องพิมพ์ ครื่องผลิตน้ำเต้าหู้ เครื่องผสมอาหาร อุปกรณ์ถ่าย
ภาพอุปกรณ์บันทึกเสียง เครื่องมือผ่าตัดเป็นต้นการรู้จักและสร้างความร่วมมือกับกลุ่มผู้ผลิตและผู้จัดจำหน่ายเหล่านี้เป็นแหล่งที่มาของการลดต้นทุนและการสร้างสนุก
ๆ ใหม่ ๆ ทางธุรกิจ
2.
การวิธีการหรือโปรแกรมที่ช่วยด้านการจัดการหรือการให้บริการซอฟต์แวร์ได้แก่บริษัทหรือหน่วยงานของรัฐที่บริการ
หรือความช่วยเหลือในการออกแบบการคิดค้นวิธีการผลิตใหม่ๆการเพิ่มผลผลิตการตรวจสอบคุณภาพการปรับปรุงมาตรฐานในการทำงานตลอดจนผู้ผลิตหรือผู้จำหน่ายโปรแกรมคอมพิวเตอร์เพื่อช่วยในการผลิตการจัดการให้บริการและการตัดสินจะตัดสินใจ
เช่น การที่กรมการค้าภายในกระทรวงพาณิชย์ได้ให้บริการแก่ร้านค้าปลีกขนาดเล็ก โดยการให้ความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของสถานการณ์การแข่งขันทางการค้าปลีกในปัจจุบัน
ที่ทำให้ร้านค้าปลีกขนาดเล็กได้รับผลกระทบอย่างรุนแรงจากร้านค้า Modem Trade จึงมีความจำเป็นต้องปรับเปลี่ยนการดำเนินงานและการจัดการเพื่อให้สามารถแข่งขันได้
และช่วยเหลือในภาคปฏิบัติเพื่อให้เห็นผลอย่างชัดเจนเป็นรูปประธรรม
3. ด้านบุคลากรที่มีความสามารถในการผลิต การจัด การบริการ People where ซึ่งหมายถึง
สถาบันการศึกษาและหน่วยงานด้านการฝึกอบรมต่างๆทั้งภาครัฐและเอกชนที่ทำหน้าที่ในการผลิตบุคลากรที่มีคุณภาพเพื่อเข้าสู่อุตสาหกรรมต่างๆได้แก่
สถาบันการศึกษาในด้านอาชีพต่าง ๆ สถาบันการพัฒนาวิสาหกิจขนาดกลางขนาดย่อม
สถาบันพัฒนาฝีมือแรงงาน
สถาบันฝึกอบรมบุคลากรทางด้านเทคนิคการผลิตหรือด้านการโรงแรมและการท่องเที่ยวเป็นต้น
ตลอดจนการร่วมมือในการจัดการพัฒนาบุคลากรให้มีความรู้ ความสามารถ ตามสาขาอาชีพที่ธุรกิจต่างๆต้องการ
เช่น การจัดตั้งบริษัทร่วมค้าปลีกเข้มแข็งทางกระทรวงพาณิชย์
เพื่อให้เป็นศูนย์กลางการจัดซื้อสินค้าให้แก่ร้านค้าปลีกขนาดเล็กเป็นการเพิ่มอำนาจการต่อรองในเรื่องราคากับผู้ผลิตหรือผู้จัดจำหน่าย
เช่น โครงการรักษาบ้านเกิดเป็นต้น
ดังนั้น ผู้ประกอบการกิจการจำเป็นต้องรู้จักองค์กรและหน่วยงานต่าง ๆ
ทั้ง 4
ประเภทดังกล่าวข้างต้นและวิเคราะห์แนวทางการดำเนินธุรกิจที่สามารถได้รับประโยชน์หรือความร่วมมือจากกลุ่มผู้ผลิต
หรือผู้จัดจำหน่ายวัตถุดิบและเครือข่ายธุรกิจเหล่านี้จำหน่ายวัตถุดิบหรือเครือข่ายธุรกิจเหล่านี้จึงสามารถทำให้กิจการสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน
8. ตัวแปรเกี่ยวกับการตลาดหรือผู้บริโภค Market or customer Variables เป็นตัวแปรที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการตัดสินใจเพื่อกำหนดแนวทางการดำเนินงานทางการตลาด
เพราะตัวแปรด้านการตลาดหรือผู้บริโภคเป็นตัวแปรที่นักการตลาดไม่สามารถควบคุมความต้องการได้
แต่เป็นตัวแปรที่การตลาดต้องตอบสนองความต้องการ
ฉะนั้นนักการตลาดจำเป็นต้องศึกษาการตลาดหรือผู้บริโภคให้มากที่สุด ทางการตลาด
เพื่อดึงดูดให้ผู้บริโภคหรือตลาดเกิดความสนใจใน ผลิตภัณฑ์ หรือ
นำมาประกอบในการหาแนวทางกลยุทธ์ที่ตอบสนองความต้องการของตลาดให้เกิดประสิทธิภาพ
อันนำไปสู่การตัดสินใจซื้อของผู้บริโภคหรือตลาดในที่สุด
การศึกษาเกี่ยวกับตลาดหรือผู้บริโภคจำแนกออกเป็น 2 ประเภทคือ
ตลาดผู้บริโภคตลาดธุรกิจ การศึกษาตลาดหรือผู้บริโภคทั้ง 2
ประเภทจะต้องศึกษาเกี่ยวกับลักษณะทั่วไป เช่น
ตลาดผู้บริโภคที่ซื้อสินค้าเพื่อนำไปใช้บริโภคเองเป็นการส่วนตัวหรือใช้ในครอบครัวจะศึกษาเกี่ยวกับ
1. เพศ เพื่อศึกษาความสนใจสำหรับบางประเภทที่เพศเข้ามาเกี่ยวข้อง
เช่น ผ้าอนามัย เสื้อสำเร็จรูป เป็นต้น
2. ระดับการศึกษา เพื่อใช้เป็นแนวทางในการเลือกซื้อและข้อความที่ใช้ในการติดต่อสื่อสารให้เหมาะสมกับกลุ่มเป้าหมาย
3.
ทำเลที่อยู่อาศัยของผู้บริโภคหรือผู้ใช้และกลุ่มเป้าหมายเพื่อนำไปใช้ประโยชน์ในการเลือกทำเลที่ตั้งของร้านค้าหรือกิจการ
คลังเก็บสินค้า และศูนย์กระจายสินค้า เป็นต้น
4. รูปแบบการดำเนินชีวิต เพื่อเกิดความเข้าใจเกี่ยวกับความสนใจและรูปแบบการใช้เวลาของผู้บริโภคหรือผู้ใช้และกลุ่มเป้าหมาย
5. พฤติกรรมการซื้อของผู้บริโภคหรือผู้ใช้และกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อศึกษาความถี่และปริมาณการซื้อแต่ละครั้ง สถานที่ซื้อ
จุดมุ่งหมายในการซื้อว่าซื้อเพื่อใช้เองหรือซื้อเพื่อคนอื่น
6. พฤติกรรมการใช้เพื่อศึกษาความถี่และปริมาณการใช้โอกาสในการใช้ ถ้าเป็นตลาดธุรกิจที่ผู้ซื้อเป็นบุคคลธรรมดาหรือนิติบุคคลที่มีลักษณะการดำเนินงานในรูปแบบห้างหุ้นส่วนสมาคมและหน่วยงานราชการที่มีวัตถุประสงค์ในการซื้ออย่างใดอย่างหนึ่งในสหรัฐเสนอดังนี้คือนำไปใช้ในการผลิตการจัดจำหน่ายการบริการหรือการประกอบการของบุคลากรควรทำการศึกษาให้เข้าใจเกี่ยวกับจำนวนกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อสามารถคาดคะเนถึงขนาดของตลาดขนาดของกลุ่มเป้าหมายต่างๆ
เครือข่ายคะเนเกี่ยวกับปริมาณการซื้อและอำนาจการต่อรองของผู้ซื้อประเภทของอุตสาหกรรม
เพื่อให้เกิดความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวลักษณะของความต้องการที่แตกต่างกัน
ทำเลที่ตั้งที่ทำการของกลุ่มเป้าหมาย
เพื่อเป็นแนวทางในการเข้าถึงและการจัดส่งสินค้า
ผู้ประกอบการธุรกิจต้องเข้าใจเป็นอันดับแรกก่อนว่าลูกค้าเป้าหมายของกิจการเป็นบุคคลทั่วไปหรือนิติบุคคลหรือทั้ง
2 ประเภทในสัดส่วนเท่าไหร่เพื่อประโยชน์ในการทำกลยุทธ์ทางการตลาดให้เกิดความเหมาะสม
ทั้งนี้เพื่อกลุ่มเป้าหมายทั้ง 2
ประเภทมีความแตกต่างกันและพัฒนาอำนาจการซื้ออำนาจการต่อรอง ประเภทมีความแตกต่างกันและพัฒนาอำนาจการซื้ออำนาจการต่อรองกับการตัดสินใจซื้อ
พฤติกรรมการซื้อ เงื่อนไขการชำระเงินและวัตถุประสงค์ในการซื้อ
แหล่งข้อมูลที่ผู้ประกอบการสามารถศึกษา
ค้นคว้าข้อมูลเพื่อนำมาประเมินศักยภาพของตลาดทั้งสองลักษณะ
ทั้งตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศได้แก่ เอกสารเผยเผยแพร่เขาหาราชการ
รายงานของสำนักงานสถิติแห่งประเทศ กระทรวงพาณิชย์ เป็นต้น
ปัจจัยภายในหรือปัจจัยที่ควบคุมได้ Internal or Controllable Factors
ปัจจัยภายในหรือภาษาที่สามารถควบคุมได้ หมายถึง
ปัจจัยการตลาดที่ผู้ประกอบการสามารถควบคุมหรือเปลี่ยนแปลงให้เป็นไปตามความต้องการของธุรกิจหรือธุรการได้
เพราะเป็นปัจจัยที่กิจการหรือธุรกิจจัดสรรมาใช้ในการดำเนินกิจการด้านต่าง ๆ
ประกอบด้วยตัวแปรที่สำคัญคือ
1. ส่วนประสมทางการตลาด marketing
mix คือ
องค์ประกอบที่นำมาใช้ในการดำเนินงานทางการตลาดเรียกว่า 4’ps ประกอบด้วย
1.1 ผลิตภัณฑ์ product หมายถึง
ตัวสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจและผลิตขึ้นหรือจัดหามาเพื่อตอบสนองความต้องการของตลาดเป้าหมาย
เป็นปัจจัยแรกที่มีความสำคัญต่อการดำเนินงานทางการตลาด
เพราะการผลิตหรือการจัดหาผลิตภัณฑ์ได้ตรงความต้องการของเป้าหมาย
จะทำให้ผลิตภัณฑ์เป็นที่ยอมรับแก่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้และตลาดเป้าหมาย
ฉะนั้นและการตลาดต้องใช้ความสำคัญกับการจัดการเพื่อผลิตในด้านการพัฒนา
การจัดมาตรฐาน
การจัดกลุ่มผลิตภัณฑ์และการเพิ่มลดสายผลิตให้มีความสอดคล้องกับความต้องการของตลาดเป้าหมาย
1.2 ราคา Price หมายถึง ข้อมูลของสินค้าหรือบริการที่ธุรกิจผลิตหรือจัดมาเพื่อตอบสนองความต้องการ
มูลค่าของสินค้าหรือบริการจะต้องมีความสอดคล้องกับอรรถประโยชน์ของผลิตภัณฑ์ที่ผู้บริโภคจะได้รับเป็นสำคัญ
การที่ธุรกิจจะกำหนดราคาผลิตภัณฑ์ให้อยู่ในระดับใดขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับลักษณะของตลาดเป้าหมายโดยพิจารณาจากอำนาจซื้อ
พฤติกรรมรวมถึงกิจกรรมทางการตลาดที่ต้องดำเนินการ เช่น การโฆษณา การส่งเสริมการขาย
ตลอดทางเป้าหมายในการดำเนินงานที่ ธุรกิจกำหนดไว้ เช่น ผลตอบแทนหรือกำไร
การขยายตัวการครองส่วนตลาดหรือเป้าหมายอื่น ๆ
1.3 การกำหนดช่องทางการจัดจำหน่าย Place หมายถึงกิจกรรมในการทำให้สินค้าหรือบริการเกิดการเคลื่อนย้ายจากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้ต้องถูกต้องและเหมาะสม
ดังกล่าว รายการจัดจำหน่ายผลิตภัณฑ์ต้องกระทำอย่างรวดเร็ว
ทันเวลาที่ผู้บริโภคต้องการในสถานที่ที่เหมาะสม
มิฉะนั้นจะทำให้ผลิตภัณฑ์นั้นหมดคุณค่าไปได้
ก. พ่อค้าคนกลาง Middlemen บุคคลที่ทำหน้าที่ในการนำสินค้าหรือบริการจากแหล่งผลิตไปสู่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้ในระดับต่าง
ๆ ได้แก่ พ่อค้าส่ง พ่อค้าปลีก นายหน้า ตัวแทน เป็นต้น
ข. เครื่องมือในการกระจายสินค้า Physical
Distribution หมายถึง
กิจกรรมทางการตลาดที่นำมาใช้ในการติดต่อสื่อสารข้อมูลต่าง ๆ
หรือบริการที่กิจการเสนอแก่ตลาดเป้าหมายเพื่อให้ผู้บริโภคหรือผู้ใช้มีความรู้พอเข้าใจเกี่ยวกับสินค้าหรือบริการที่กิจการเสนอในประเภทของสินค้าบริการว่ามีอะไรบ้างมีประโยชน์อย่างไร
จำหน่ายที่ไหน ราคาเท่าไหร่
ค. การส่งเสริมการขายในรูปแบบอื่น ๆ Sales
Promotion แปลงกิจกรรมทางการตลาดที่นำสิ่งจูงใจต่างๆมาใช้เป็นเครื่องมือเพื่อกระตุ้นความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ใช้และกลุ่มเป้าหมายทางการตลาดให้เกิดการซื้อสินค้าหรือบริการอย่างรวดเร็วขึ้น
ง. การประชาสัมพันธ์ Public
Relation หมายถึง การดำเนินงานกิจการทางการตลาดในรูปแบบใดใด
ที่ก่อให้เกิดความเข้าใจระหว่างธุรกิจหรือองค์การกับบุคคลภายนอกที่เข้ามาเกี่ยวข้อง
ทั้งที่เป็นผู้บริโภคและผู้ที่คาดว่าจะเป็นผู้บริโภค
จ. การตลาดทางตรง Direct marketing หมายถึง ระบบตัวต่อทางการตลาดที่ใช้สื่อโฆษณาหนึ่งหรือมากกว่าหนึ่งสือ
เพื่อให้เกิดผลที่วัดได้หรือเกิดการแลกเปลี่ยน และสถานที่ที่หนึ่ง
กิจกรรมเหล่านี้จะถูกบันทึกไว้เป็นฐานข้อมูล
ส่วนประสมทางการตลาดหรือ 4’PS จัดเป็นปัจจัยภายนอกที่สามารถควบคุมได้เพราะเป็นกิจการสามารถปรับเปลี่ยนปัจจัยต่าง
ๆ เหล่านี้ไปตามความเหมาะสม แต่การจะปรับเปลี่ยนไปในทิศทางใดต้องให้สอดคล้องกับปัจจัยภายนอกที่เกี่ยวข้องเป็นหลักสำคัญ
เช่น
กิจการต้องผลิตหรือจัดหาสินค้าที่มีลักษณะสอดคล้องกับความต้องการของผู้บริโภคและกำหนดระดับราคาที่ผู้บริโภคสามารถซื้อได้เพื่อผู้บริโภคหรือผู้ซื้อสามารถนำมาใช้ประกอบการตัดสินใจซื้อได้อย่างเหมาะสมและที่สำคัญการดำเนินการ
เกี่ยวกับปัจจัยทั้ง 4 ประการดังนี้ต้องไม่ขัดต่อกฎหมาย
ระเบียบปฏิบัติขนบธรรมเนียมประเพณีที่ดีงามต่อของสังคมการดำเนินงานธุรกิจถึงประสบผลสำเร็จและสามารถอยู่ในตลาดได้ตลอดไป
2. นโยบายของกิจการ policy เป็นตัวแปรที่กิจการสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามความเหมาะสมกับสถานการณ์เช่นนโยบายการแข่งขัน
นโยบายการส่งเสริมการตลาด เป็นต้น
3. ฐานะทางการเงิน Financial การวางแผนทางการเงินเป็นปัจจัยภายในที่สำคุญอีกประการหนึ่งที่กิจการสามารถปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องกับปัจจัยภายนอก
ทั้งในด้านการลงทุนและด้านการดำเนินงาน เพื่อให้สามารถดำเนิงานภายใต้
4. การบริหารจัดการ Management เป็นปัจจัยที่เกี่ยวข้องกับการใช้ทรัพยากรที่กิจการองค์การมีอยู่อยู่ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด
ทั้งทรัพยากรมนุษย์ เงินทุน วัสดุอุปกรณ์ หรือ กระบวนการในการดำเนินงาน
การวิเคราะห์สภาพแลดล้อมทางการตลาด Marketing Environment Analysis
การวิเคราะห์ตลาด Marketing
Analysis หมายถึง การศึกษาเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมที่มี อิทธิพล
ต่อการดำเนินงานทางการตลาด และองค์ประกอบการตลาดในด้านต่าง ๆ
เพื่อค้นหาโอกาสทางการตลาดที่องค์การสามารถในการเช้าไปดำเนินการได้
แล้วนำมากำหนดแนวทางในการปฏิบัติงานทางการตลาดให้เหมาะสม
สอดคล้้องกับสถานการณ์ในขณะนั้น บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่ธุรกิจได้กำหนดไว้
ซึ่งวิธีการที่นักการตลาดนำมาใช้ในการรวบบรวมหรือวิเคราะห์ช้อมูลเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางการตลาด
1. การวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดตามหลักการ SWOT Analysis ซึ่งจัดเป็นเครื่องมือที่ใช้ในการบริหารงานการตลาด
เพื่อทำการวิเคราะห์และประเมินผลกระทบของสภาพแวดล้อมทางการตลาดในด้านต่างๆ
ที่เปิดโอกาสหรือเป็นอุปสรรคต่อการดำเนินงานของกิจการ
และบริหารจัดการกับปัจจัยต่าง ๆ ที่องค์การมีอยู่ให้สามาถดำเนินการต่อไปได้ภายใต้สถานการณ์ที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน
และอนาคตสามารถแข่งขันได้ กิจการสามารถอยู่รอดได้ในสถานการณ์นั้น ๆ
1. S มาจากคำว่า Strength เป็นการวิเคราะห์ข้อได้เปรียบหรือข้อดีเด่น
หรือจุดแข็งของกิจการภายใต้สภาพแวดล้อมทางการตลาดหรือสถานการณ์การตลาดในขณะนั้น
ซึ่งเป็นการวิเคราะห์จากส่วนประสมทางการตลาด Marketing mix และสภาพแวดล้อมภายในอื่น ๆ ของกิจการ
2. W มาจากคำว่า Weaknesses เป็นการวิเคราะห์ข้อเสียเปรียบ
หรือจุดอ่อนของกิจการซึ่งมักจะเกิดจากส่วนประสมทางการตลาดและสิ่งแวดล้อมภายใน
การทราบถึงจุดอ่อน หรือ ข้อเสียเปรียบของกิจการ
จะเป็นเครื่องมือช่วยให้กิจการสามารถค้นหาวิธีการป้องกันหรือแก้ไขปัญหาได้อย่าถูกต้อง
3. O มาจากคำว่า Opportunities เป็นการวิเคราะห์ข้อได้เปรียบหรือปัจจัยเอื้ออำนวยประโยชน์ไห้กับกิจการในแต่ละสถานการณ์
โดยการวิเคราะห์จากสภาพแวดล้อมภายนอกที่จะช่วยกิจการสามารถนำมาใช้กำหนดกลยุทธ์การตลาดให้สอดคล้องกับโอกาสนั้น
ๆ
4. T มาจากคำว่า Threats เป็นการวิเคราะห์เกี่ยวกับอุปสรรคต่าง ๆ ที่เกิดจากเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อมภายนอกในแต่ละช่วงเวลาและส่งผลกระทบต่อการดำเนินงานของกิจกิจการในด้านลบ
กิจกรรมต้องนำข้อมูลต่างๆ มาทำการวิเคราะห์ เพื่อนำไปใช้ประกอบการตัดสินใจ
ในการทำงานหรือปรับปรุงกลยุทธ์การดำเนินงานทางการตลาดให้ประสบความเร็จบรรลุวัตถุประสงค์
และเป็นประโยชน์ตามที่กิจการกำหนด ภายใต้สถานการณ์ในขณะนั้น
จากองค์ประกอบของวิเคราะห์ตามหลักการ SWOT
Analysis ทั้ง 4 ประการดังกล่าวข้างต้น
สามารถสรุปเป็นหลักการวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ทางตลาดได้ 2
ลักษณะที่สำคัญลักณณะแรกเป็นการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆ ที่ผู้ประกิบการไม่สามารถควบคุมหรือปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามที่ต้องการได้
เพราะเป็นปัจจัยที่เกิดจาสภาพแวดล้อมทางการตลาดภายนอก เรียกว่า
การวิเคราะห์เกี่ยวกับสถานการณ์ภายนอก หมายถึง
การประเมินสภาพแวดล้อมทางการตลาดเกี่ยวกับปัจจัยต่างกิจการไม่สามารถควบคุมมหรือไม่สมารถเปลี่ยแปลงได้
รวมถึงแนวโน้มการเปลี่ยนแปลงที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต
เพื่อนักการตลาดจะได้นำมาใช้พิจารณาถึงโอกาส Opportunities และอุปสรรค Threats ในการดำเนินงานทางตลาดในอนาคต
ส่วนในลักษณะที่สองเป็นวิเคราะห์เกี่ยวกับปัจจัยที่กิจการตรวจสอบควบคุมหรือสามารถและความพร้อมของกิจการเกี่ยวกับทรัพยากรในด้านต่าง
ๆ รวมทั้งนโยบายของกิจการ และที่สำคัญที่สุดคือส่วนประสมทางการตลาด
2. การวิเคราะห์โดยใช้หลัก STP
Step หลังจากกิจการได้วิเคราะห์สถานการณ์การตลาด
โดยนำหลังการวิเคราะห์ระบบวิเคราะห์แบบ SWOT Analysis มาใช้เพื่อทำการศึกษาเกี่ยวกับจุดแข็ง จุดอ่อน โอกาส
และอุปสรรคของกิจการแล้ว
ก่อนที่นำไปสู่ขั้นตอนการวางแผนทางการตลาดโดยการใช้หลักการ STP step ซึ่งประกอบด้วย
1. S คือ Segmentation หมายถึง การแบ่งส่วนตลาดคือ
การกำหนดตลาดจากส่วนแบ่งตลาดที่กิจการให้ความสนใจในการเข้าไปตอบสนองความต้องการ
การกำหนดวัตถุประสงค์ทางการตลาดเพื่อนำมาบริหารจัดการเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดให้มีความสอดคล้องมีลักษณะความต้องการของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายและเพื่อสร้างความแตกต่างระหว่างผลิตภัณฑ์ของกิจการกับผลิตภัณฑ์ของคู่แข่งในสายตาผู้บริโภค
2. T คือ targeting หมายถึง
การกำหนดเป้าหมายตลาดเมื่อกิจการดำเนินการแบ่งส่วนตลาดเพื่อศึกษาเกี่ยวกับลักษณะความต้องการและพฤติกรรมของผู้บริโภคกลุ่มเป้าหมายเพื่อกำหนลักษณะของผลิตภัณฑ์ที่จะนำเสนอให้แตกต่างจากผลิตภัณฑ์ที่อยู่ในตลาดแล้วขั้นต่อมาคือการกำหนดเป้าหมายที่กิจการจะเข้ามาดำเนินการตอบสนองความต้องการเพื่อ
ดำเนินทางการตลาดเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดให้เกิดความเหมาะสม
3. P คือ Product
Positioning หมายถึง
การกำหนดตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ที่กิจการนำเสนอต่อตลาดเป้าหมายเป็น
กิจกรรมการตลาดที่เกี่ยวกับการกำหนดลักษณะเด่นของคุณค่าของสินค้าและบริการให้มีความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ประเภทเดียวกันของคู่แข่งที่สำคัญลักษณะเด่นหรือคุณค่าของสินค้าหรือบริการต้องมีความสอดคล้องกับความ
ต้องการของผู้บริโภคและผู้บริโภคสามารถรับรู้ได้ถึงความแตกต่าง
ในการปฏิติเกี่ยวกับการวิเคราะห์โอกาส หรือการวิเคราะห์สถานการณ์ทางการตลาดในด้านต่าง
ๆ ที่ได้กล่าวมาแล้วนั้น
นักการตลาดจะเริ่มจากการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางการตลาดภายนอกก่อน
เนื่องจากเป็นปัจจัยที่นักการตลาดไม่สามารถควบคุมหรือปรับเปลี่ยนให้เป็นไปตามที่ต้องการได้
แต่เป็นปัจจัยที่สำคัญนักการตลาดต้องทำความเข้าใจและติดตามอย่างใกล้ชิดเพื่อให้ทันต่อสถานการณ์ปัจจุบันและแนวโน้มทางการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นในอนาคตของสภาพแวดล้อมทางด้านการตลาดโดยเฉพาะสภาพแวดล้อมภายนอกเพื่อนำข้อมูลและความเข้าใจในสถานการณ์ภายนอกมาใช้ในการวิเคราะห์สถานการณ์ภายใน
หรือสภาพแวดล้อมทางการตลาดภายในเพื่อพิจารณา ตรวจสอบศักยภาพ ความสามารถ
และเตรียมความพร้อมของกิจการในด้านต่าง ๆ และเพื่อนำมาใช้ปรับปรุงจุดอ่อน
สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ สอดคล้องกับสถานการณ์ภายนอกตลอดเวลา
การวิเคราะห์โอกาสทางการตลาดเป็นกิจกรรมที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะในภาวะเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างรวดเร็วประกอบกับการเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยีสื่อสารและโทรคมนาคมที่ไร้พรมแดน
คู่แข่งขันที่มีจำนวนมากมีศักยภาพสูงขึ้นตลอดเวลา
ธุรกิจจำเป็นต้องมีการรวบรวมข้อมูลที่ทันสมัยเพื่อนำมาวิเคราะห์หาโอกาสทางตลาดที่เหมาะสม
และเลือกประเภทธุรกิจที่เป็นที่ต้องการของตลาด
ศึกษาพฤติกรรมของตลาดในปัจจุบันและอนาคต
เพื่อกำหนดแนวทางในการดำเนินงานทางการตลาดให้เป็นไปตามความเหมาะสมกับความสามารถของธุรกิจ
การวางแผนทางการตลาด marketing
planning หมายถึง
การกำหนดแนวทางในการปฏิบัติเกี่ยวกับส่วนประสมทางการตลาดทั้ง 4 องค์ประกอบ ได้แก่
ผลิตภัณฑ์ การกำหนดราคา การจัดจำหน่ายและการส่งเสริมการตลาด หรือ 4 ‘ps กิจการเพื่อให้สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภคหรือผู้ใช้และกลุ่มเป้าหมายจนเกิดความพึงพอใจ
และกิจการสามารถบรรลุวัตถุประสงค์ตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ได้อย่างมีประสิทธิภาพ
การปฏิบัติการทางการตลาด implementation เป็นขั้นตอนการดำเนินงานทางการตลาดตามแผนการตลาดที่กำหนดเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์
การกำหนดราคา การจัดจำหน่าย การส่งเสริมการตลาด
รวมทั้งการกำหนดหน้าที่และความรับผิดชอบในแก่บุคคลต่าง ๆ
ในแต่ละระดับให้เกิดความเหมาะสมและสอดคล้องกับความรู้ ความสามารถของแต่ละบุคคล
เพื่อให้การปฏิบัติงานทางการตลาดเป็นไปตามแผนที่กำหนดไว้อย่างมีประสิทธิภาพและ
บรรลุผลสำเร็จตามเป้าหมายที่กำหนดซึ่งเป็นการปฏิบัติเกี่ยวกับกลยุทธ์การตลาดด้านต่าง
ๆ ดังนี้
1. กลยุทธ์เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ Product
Strategies เป็นการปฏิบัติทางการตลาดที่เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์ของธุรกิจที่สามารถตอบสนองความต้องการของผู้บริโภค
การกำหนดตำแหน่งของผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับเป้าหมาย
โดยการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เกิดความแตกต่างจากผลิตภัณฑ์ของคู่แข่ง ทั้งในด้านรูปแบบ
คุณภาพที่เหนือกว่า มีความโดดเด่น ความคงทน และความน่าสนใจ
เพื่อเป็นการสร้างแรงจูงใจให้แก่ผลิตภัณฑ์
2. กลยุทธ์เกี่ยวกับราคา Price
Strategies เป็นการปฏิบัติทางการตลาดที่เกี่ยวกับการกำหนดข้อมูลให้กับผลิตภัณฑ์ให้เกิดความเหมาะสมสอดคล้องกับความสามารถในการซื้อสินค้าหรือบริการทางตลาดเป้าหมาย
กิจการเกิดกำไร สามารถแข่งขันได้
3. กลยุทธ์เกี่ยวกับการจัดจำหน่าย Distribution
Strategies การปฏิบัติการทางการตลาดในด้านนี้เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการกำหนดช่องทางการจัดจำหน่ายสินค้าและบริการ
การขนส่ง การเก็บรักษาการกำหนดลักษณะคนกลางที่ต้องการ เป็นต้น เพื่อให้ผลิตภัณฑ์สามารถกระจายในตลาดต่าง
ๆ อย่างทั่วถึงและเกิดประสิทธิภาพ
4. กลยุทธ์เกี่ยวกับการส่งเสริมทางการตลาด Promotion Strategies เป็นการปฏิบัติงานด้านการตลาดเกี่ยวกับการใช้เครื่องมือในการส่งเสริมการตลาดให้เกิดความเหมาะสมกับลักษณะของตลาดผลิตภัณฑ์
ช่องทางการจัดจำหน่าย คู่แข่ง
เพื่อให้ข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับผลิตภัณฑ์สามารถกระจายสู่ตลาดเป้าหมายอย่างเหมาะสม
สามารถกระตุ้น แนวโน้ม ชักจูง
หรือผู้ใช้เกิดพฤติกรรมการตอบสนองเป็นไปตามเป้าหมายของธุรกิจ
การควบคุมทางการตลาด Marketing
Control เป็นขั้นตอนสุดท้าย ของกระบวนการในการกำหนดกลยุทธ์การตลาด
เป็นการดำเนินงานเกี่ยวกับการตรวจสอบ และปฏิบัติงานทางด้านการตลาดต่าง
ๆ ให้เป็นไปตามแผนงานทางการตลาดที่กำหนดไว้
บรรลุเป้าหมายทางการตลาดตามที่กำหนดอย่างมีประสิทธิภาพ
การควบคุมทางการตลาดเป็นกิจกรรมที่ต้องดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอนอย่างต่อเนื่อง
การควบคุมการตลาดสามารถดำเนินงานเป็นลำดับขั้นตอนดังนี้
1. การกำหนดมาตรฐานหรือเป้าหมายของการปฏิบัติงาน
เป็นการกำหนดเกณฑ์หรือวัตถุประสงค์ในการปฏิบัติงาน
เพื่อเป็นเครื่องมือที่นำมาใช้วัดผลการปฏิบัติงานทางการตลาดว่าสูงหรือต่ำกว่าเกณฑ์ที่กำหนดไว้เพียงใด
หลักเกณฑ์ดังกล่าวสามารถกำหนดออกมาในลักษณะต่าง ๆ
กันออกไปตามความสามารถของลักษณะงาน
2. การวัดผลการปฏิบัติงาน เมื่อปฏิบัติงานตามการปฏิบัติงานต่าง ๆ
ดำเนินไปได้ระยะหนึ่งแล้ว
หรือเมื่อการปฏิบัติงานด้านการตลาดในแต่ละด้านเสร็จสิ้นลง
ธุรกิจต้องดำเนินการวัดผลของการปฏิบัติงานด้วยวิธีการที่เหมาะสมตามมาตรฐานหรือว่าวัตถุประสงค์ที่กำหนด
โดยวิธีการสังเกตด้วยปากเปล่า หรือการเขียนรายงานการปฏิบัติ
3. การประเมินผลการปฏิบัติงาน
เป็นกิจกรรมที่เกี่ยวกับการดำเนินผลการปฏิบัติงานที่ได้ดำเนินการเสร็จสิ้นแล้วมาเปรียบเทียบกับมาตรฐานที่กำหนดหากผลของงานที่ได้รับเท่ากับมาตรฐานที่กำหนดไว้แสดงว่าการปฏิบัติงานมีประสิทธิภาพแต่หาผลของงานที่ได้รับต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนดไว้แสดงว่าการปฏิบัติงานด้านการตลาดขาดประสิทธิภาพ
ผู้บริหารด้านการตลาดหรือผู้ที่รับผิดชอบในงานดังกล่าวต้องทำการศึกษาหาสาเหตุ
เพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขปัญหาให้การปฏิบัติงานดำเนินอย่างถูกต้องและบรรลุผลสำเร็จตามมาตรฐานที่กำหนดต่อไป
4. การดำเนินการแก้ไข เมื่อทำการประเมินผลการปฏิบัติงานแล้วพบว่าการปฏิบัติงานทางการตลาดต่ำกว่ามาตรฐานที่กำหนด
หรือไม่สามารถดำเนินงานเป็นไปตามเป้าหมายได้ ผู้บริหารของการตลาดต้องค้นหาสาเหตุ เพื่อกำหนดแนวทางในการแก้ไขและกำหนดแนวทางในการปฏิบัติหน้าที่สามารถบรรลุสำเร็จตามเป้าหมายต่อไปได้
ระบบการตลาด Marketing System
การดำเนินงานทางการตลาดให้ประสบผลสำเร็จนั้น นักการตลาดต้องมีความรู้
ความเข้าใจ
ความสามารถในการนำข้อมูลที่ได้รับจากการวิเคราะห์ปัจจัยต่างๆเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมทางการตลาดมาจัดการเกี่ยวกับสภาพแวดล้อมของตลาดภายในให้สอดคล้องกับสภาพทางการตลาดภายนอกที่เกี่ยวข้อง
โดยการกระทำดังกล่าวดำเนินการอย่างมีขั้นตอนต่อเนื่องเพื่อให้เกิดการเคลื่อนย้ายสินค้า
หรือ จากผู้ผลิตไปสู่ผู้บริโภคหรือผู้ใช้ที่เป็นกลุ่มเป้าหมายอย่างมีประสิทธิภาพ
เรียกว่า ระบบ หรือการตลาด
ความหมายของระบบการตลาด
มีผู้รู้ให้ความสามารถของระบบการตลาดได้หลายท่าน ดังนี้
ระบบการตลาด หมายถึง
สนองความต้องการของลูกค้าและดำเนินการเคลื่อนย้ายคุณค่าของสินค้าและบริการจากผู้ผลิตไปยังลูกค้าหรือตลาด
ระบบการตลาด หมายถึง
การรวมตัวของระบบย่อยในตลาดโดยที่ระบบเจ้าย่อยของการตลาดจะดำเนิน
สรุปได้ว่า ระบบการตลาด คือ การกระทำเพื่อให้เกิดการรวมตัวของกิจกรรมย่อยย่อยทางตลาด
เพื่อทำงานให้ประสานสอดคล้องกันทั้งในด้านข้อมูลข่าวสารทางการตลาดและกิจกรรมในการจำหน่ายจ่ายแจกเพื่อให้กิจกรรมย่อยย่อยทางการตลาดได้ดำเนินไปในทิศทางเดียวกันอย่างต่อเนื่อง
อิงอ้าง
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น